“เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต”..สำนวนนี้ใช้ไม่ได้กับคนอย่างนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร..เพราะทั้งชีวิต—ทักษิณไม่ถนัดกับการกระทำที่สุจริต
ทักษิณ ชินวัตร เคยให้สัมภาษณ์อย่างภาคภูมิใจเกี่ยวกับการหาเงินในชีวิตวัยเด็กว่า..พ่อแม่เปิดวิกฉายหนังที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในปี 2517 ทางบ้านได้นำภาพยนตร์อินเดียที่โด่งดังในยุคนั้นเรื่อง“ช้างเพื่อนแก้ว”ของบอลลีวู้ด มาฉาย..ทักษิณหาเงินด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมประกาศว่าตั๋วเต็ม แล้วเอาตั๋วมาเดินขายหน้าวิกปั่นราคาให้สูงขึ้น..ทั้งๆ ที่เนื้อหาของหนังเรื่องนี้พูดถึงความซื่อสัตย์ของช้างที่มีต่อเจ้านาย
หากย้อนกลับไปดู จากวัยเด็กกระทั่งเข้าสู่แวดวงการเมือง จนมีตำแหน่งสูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย..“ทักษิณ ชินวัตร”เดินสวนทางกับความซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด
ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกในปี 2544 ก็โดน“คดีซุกหุ้น” ที่ปิดบังบัญชีทรัพย์สินด้วยกการ“ซุกหุ้น”ไว้ที่คนรับใช้ และคนขับรถ..ซึ่งแม้ว่าหลังจากรัฐธรรมนูญตัดสินว่าไม่ผิด และเลี่ยงคำให้ดูดีว่า“บกพร่องโดยสุจริต”ก็ตาม..แต่ก็ถือว่าเป็นปฐมบทของความไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ของผู้นำประเทศ
และเมื่อเข้าไปบริหารราชการแผ่นดินก็มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับโครงการของรัฐ จนถูกดำเนินคดีทุจริตคอร์รัปชันไม่ต่ำกว่า 10 คดี และต้องกลายเป็นนักโทษโกงบ้านกินเมืองกระทั่งถึงวันนี้
หรือแม้แต่เป็นนักโทษก็ยังไม่ซื่อสัตย์—จากการโป้ปดว่า“ป่วยวิกฤต” เพื่อเลี่ยงการติดคุก โดยที่กรมราชทัณฑ์รู้เห็นเป็นใจเปิดทางให้
คดีมาตรา 112 นี่ก็เช่นกัน เมื่อถึงวันที่สำนักงานอัยการสูงสุดนัดฟังคำสั่งเมื่อวานนี้ (29 พฤษภาคม)..“ทักษิณ ชินวัตร”ก็ใช้วิธีเดิม..ขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งของอัยการ โดยอ้างว่า“ติดโควิค” และมอบหมายให้ทนายความยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งออกไปเป็นวันที่ 25 มิถุนายน 2567
ใครก็รู้ว่าข้ออ้างว่า“ติดโควิด”นั้น..เป็น“ลูกไม้”ของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่ง“โมฆบุรุษ”ผู้นี้..นอกจากจะไม่ซื่อสัตย์สุจริตแล้ว ก็ยังเป็นคนใจไม่ถึง..ประเภท“ปากกล้าขาสั่น” ดูได้จากการชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดงในปี 2552 คนไทยทั่วไปยังจำเสียงนี้ได้ดี..“ถ้าเมื่อไหร่เสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชน ผมจะเข้าไปนำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพฯทันที”—ปรากฏว่าไม่มีใครเห็นทักษิณแม้แต่เงา
“ทักษิณ ชินวัตร”อ้างว่าป่วยติดโควิด เพราะทักษิณย่อมรู้จาก“สายสนกลใน”ที่เป็นสายข่าวในสำนักงานอัยการสูงสุด ว่านายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด จะสั่งฟ้องคดี..จึงต้องหาทางเลี่ยงไว้ก่อนเพื่อประวิงเวลาหาทางหนีทีไล่
ถ้า“ทักษิณ ชินวัตร”ไม่โป้ปดว่า“ติดโควิด”..แน่นอนว่าภาพที่จะออกมา คือ..ทักษิณจะต้องถูกควบคุมตัวไปศาลอาญาในฐานะจำเลยเพื่อส่งฟ้องคดี และเมื่อศาลประทับรับฟ้องแล้ว..ก็จะต้องถูกพาตัวออกจากห้องพิจารณาคดีไปขังรวมกับจำเลยคนอื่นๆ ระหว่างรอประกันตัวในห้องขังใต้ถุนศาล
และถึงที่สุดแล้วเชื่อว่า ศาลไม่น่าจะให้ประกันตัว เพราะ“ทักษิณ ชินวัตร”ยังเป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างการพักโทษ
ด้วยเหตุนี้ คนอย่าง“ทักษิณ ชินวัตร”คงยอมไม่ได้ที่จะต้องกลับเข้าไปอยู่ในคุก..กว่าจะมาถึงวันนี้ได้โดยไม่ต้องติดคุกกระทั่งได้รับการพักโทษ..เรียกว่าเลือดตาแทบกระเด็น มิหนำซ้ำยังจะต้องมีคนรับเคราะห์กรรมแทนอีก คือข้าราชการประจำในกรมราชทัณฑ์ตั้งแต่อธิบดีลงมา..รวมทั้งแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลตำรวจอีกนับสิบคน..ที่อาจจะต้องติดคุก--เพราะทุจริตต่อหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือทักษิณ
แต่อย่างไรก็ตาม การที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง“ทักษิณ ชินวัตร”ในคดีความผิดมาตรา 112 ครั้งนี้..นับว่าสำนักงานอัยการสูงสุดได้แสดงให้เห็นถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีว่ายังมีอยู่ หลังจากที่ถูกผู้คนสบประมาทและคลางแคลงใจในหลายๆ คดีที่ผ่านมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทั้งนี้ จากแถลงการณ์ของสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการสั่งฟ้อง“ทักษิณ ชินวัตร”ระบุว่า
“บัดนี้ อัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาสำนวนและมีคำสั่งฟ้อง พันตำรวจโททักษิณ หรือนายทักษิณ ชินวัตร ฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และร่วมกันนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 112 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 1, พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3, 14 (3) และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) 2560 มาตรา 8”
สำหรับคำร้องเรื่อง“ติดโควิด”ที่ใครก็รู้ว่าเป็นอาการป่วยการเมืองของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร นั้น สำนักงานอัยการสูงสุดชี้แจงว่า..เมื่อพิจารณาคำร้องของทนายนายทักษิณพร้อมใบรับรองแพทย์แล้ว เห็นว่า เหตุขอเลื่อนเนื่องจากอาการป่วยเพราะติดโควิด..โดยแพทย์ให้หยุดพักงานและสังเกตอาการเป็นเวลา 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม - วันที่ 3 มิถุนายน 2567..จึงอนุญาตให้เลื่อนไปวันที่ 18 มิถุนายน 2567 เวลา 09.00 น. และนัดนายทักษิณมาพบพนักอัยการเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลในวันนั้น
กรณีของ“ทักษิณ ชินวัตร”นี้ ต้องเรียกว่า“เหนือฟ้ายังมีฟ้า”..เพราะทักษิณนั้น“จองหองพองขน” ได้คืบจะเอาศอก ไม่เคยรู้สึกสำนึกผิด ถูกสั่งฟ้องคราวนี้..อย่างน้อยกว่าที่คดีจะถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกา นานที่สุดก็ 5 ปี และเมื่อถึงวันนั้นทักษิณก็จะอยู่ในวัย 80 ปี—เป็นช่วงบั้นปลายของชีวิต น่าจะพอมีสำนึกขึ้นมาได้บ้าง
การที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง แม้ว่ายังไม่ได้เข้าไปอยู่ในคุก..แต่อย่างไรก็เท่ากับว่าขาของ“ทักษิณ ชินวัตร”ถูกล่ามโซ่ไว้แล้วข้างหนึ่ง..หรือถ้าจะดันทุรังออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตนพ้นผิด..ก็คงไม่ง่าย—รับรองเกิดปัญหาบานปลายแน่
เข้าสำนวนที่ว่า“ไมเห็นโลงศพ—ไม่หลั่งน้ำตา”!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี