วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
คำว่า “FAKE LAW” มีความหมายได้หลายนัยขึ้นอยู่ว่าจะใช้ในเรื่องอะไร ความหมายโดยทั่วไป หมายถึง อำพราง ฉ้อฉล หลอกลวงที่อาจจะนำมาปรับใช้กับกฎหมายของบ้านเราที่มีอยู่หลายฉบับ โดยเฉพาะกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ได้พิจารณาวาระแรกในสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ ๑๙ ถึงวันที่ ๒๑ มิถุนายน และคงจะได้ลงมติรับหลักการในวาระที่ ๑ โดยตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาในรายละเอียดในวาระที่ ๒ต่อไป
แต่เมื่อได้ฟังการอภิปรายในวาระแรกไม่มี สส. ท่านใดกล่าวถึงการเป็นกฎหมายฉ้อฉล อำพราง หรือกฎหมาย FAKE LAW ที่อยู่ในร่างฉบับนี้เลย
งบประมาณปี ๒๕๖๘ ได้ตั้งไว้ เป็นจำนวนไม่เกิน ๓,๗๕๒,๗๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นงบประมาณ รายจ่ายงบกลางจำนวน ๘๐๕,๗๔๕,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
รายการในงบกลางเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตั้งไว้ ๙๕,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามวินัยการคลังนั้น งบประมาณรายจ่ายงบกลาง ให้ตั้งได้เฉพาะกรณีที่มีเหตุผลและความจำเป็นที่ไม่อาจจัดสรรหรือไม่สมควรจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้โดยตรง
ดังนั้นการแจกเงิน “ดิจิทัลวอลเล็ต” จึงไม่อยู่ข่ายที่จะ “ซุก” ไว้ในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในงบกลาง ทำไมไม่แยกตั้งไว้เป็นการเฉพาะในงบของส่วนราชการที่มอบหมายให้ดำเนินการในเรื่องนี้
ส่วนงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ตั้งไว้เป็นจำนวน ๔๑๐,๒๕๓,๖๗๕,๙๐๐ บาท และทุกปีงบประมาณที่ผ่านมาในมาตรานี้ไม่แยกให้เห็นว่า เป็นต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นจำนวนเท่าไร จึงทำให้ไม่ทราบว่า ถ้ากระทรวงการคลังจะกู้เงินเป็นเงินบาทตามเพื่อชดเชยขาดดุล หรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ ตามมาตรา ๒๑ คือ
(๑) ร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น และ
(๒) ร้อยละแปดสิบของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับสำหรับคืนเงินต้น
ถามว่า ถ้าจะกู้ตาม (๒) จะใช้วงเงินใดเป็นตัวคำนวณคงไม่ใช่วงเงิน ๔๑๐,๒๕๓,๖๗๕,๐๐๐ บาท เพราะวงเงินนี้รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย รวมกันอยู่ในจำนวนนี้ (แท้จริงคือจำนวนนี้ใช่หรือไม่? จำนวน ๔๑๐,๒๕๓,๖๗๕,๙๐๐ บาทมีต้นเงินกู้ จำนวน ๑๕๐,๑๐๐ ล้านบาท เป็นดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน ๒๖๐,๑๕๓.๗ ล้านบาท)
นี่แหละคือผลแห่งการอำพรางวงเงินกู้ทั้งต้นและดอกเบี้ยไว้รวมกัน ทั้งๆที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ วรรคแรกได้บัญญัติแยกไว้เป็นรายจ่ายตามข้อผูกพันมี ๓ อย่าง คือ
(๑) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้
(๒) ดอกเบี้ยเงินกู้
(๓) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ข้อวิเคราะห์ประการต่อไป เป็นเรื่อง “เงินราชการลับ” ที่ผู้เขียนไม่ได้คัดค้านการที่หน่วยงานที่ในด้านความมั่นคงจะต้องมีเงินราชการลับ และไม่อาจเปิดเผยได้ในการนำไปใช้จ่าย แต่วงเงินนั้นเปิดเผยได้และต้องเปิดเผยในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ไม่ใช่นำไป “ซุก” ไว้ในเอกสารประกอบงบประมาณที่ไม่มีศักดิ์เป็นกฎหมาย แต่กลับไม่มีการตั้งกำหนดวงเงินไว้ในตัวพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย (ดู เอกสารงบประมาณ ฉบับที่ ๓งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ เล่ม ๑งบกลาง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม)
เช่นเดียวกัน เงินราชการลับ ๑๗ รายการ ของส่วนราชการต่างๆ ที่จำเป็นต้องมีกลับไปตั้งไว้ในงบรายจ่ายอื่นของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปีนี้มีวงเงิน ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เหตุใดจึงไม่ตั้งไว้เป็นของส่วนราชการนั้น เพราะส่วนราชการนั้นจะรู้ถึงความจำเป็นที่แท้จริงในการใช้ยิ่งกว่าสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (เอกสารงบประมาณ หน้า ๓๘๐-๓๘๑)
ดังเช่นของกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานในสังกัดได้ตั้งไว้ในหน่วยงานนั้นก็จริง แต่อยู่ในเอกสารงบประมาณ ฉบับที่ ๓ แต่ไม่ตั้งไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงกลาโหม ที่จะไม่รายการ “เงินราชการลับ” ในทุกหน่วยงานที่สังกัดนี่คือการเป็น FAKE LAW ใน “เงินราชการลับ”ของกระทรวงกลาโหม
ดังตัวอย่างในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ หน้า ๗
๒. กองทัพบก รวม ๓๖,๔๔๘,๒๒๓,๔๐๐ บาท
(๑) แผนงานพี้นฐานด้านความมั่นคง ๑๓,๕๔๓,๑๓๙,๒๐๐ บาท
(๒) แผนยุทธศาสตร์เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ ๒๘๖,๙๕๐,๐๐๐ บาท
(๓) แผนยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง ๓,๓๐๔,๐๙๙,๘๐๐ บาท
(๔) แผนยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพป้องกันประเทศและความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ ๑๙,๒๙๖,๗๖๓,๐๐๐ บาท
(๕) แผนงานยุทธศาสตร์ ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๑๗,๒๗๑,๔๐๐ บาท
ในห้าแผนนั้นๆ จะต้องมี “เงินราชการลับ”แต่ไม่รู้ว่า “เงินราชการลับ” อยู่ในแผนงานใด วงเงินมากน้อยอย่างไร
“เงินราชการลับ” เป็นรายการตามกฎหมายวิธีการงบประมาณจะต้องตั้งไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี และถ้าจะมีการโอนจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๓๕ และ ๓๖ วรรคแรก ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ ที่กำหนดหลักเกณฑ์การโอนเงินราชการลับไว้ ดังนี้
“งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณที่กำหนดไว้ในแผนงานหรือรายการใดตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย.....จะโอนหรือนำไปใช้ในแผนงานหรือรายการอื่นมิได้ เว้นแต่จะได้อนุมัติจากผู้อำนวยการแต่ผู้อำนวยการจะอนุมัติมิได้ในกรณีที่เป็นผลให้เพิ่มรายจ่ายประเภทเงินราชการลับ....เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี”
จะเห็นได้ชัดเจนว่า “เงินราชการลับ” จะต้องเป็นรายการในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย จึงจะดำเนินการโอนตามมาตรานี้ได้
ที่เป็น FAKE LAW เพราะรายการต่างๆ และวงเงินนั้นเป็นรายการที่เป็นกฎหมายตามมาตราต่างๆ ในพระราชบัญญัติว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว การให้อำนาจผู้อำนวยการสำนักงบประมาณที่เป็นข้าราชการประจำแก้ไขวงเงินโดยการโอน ก็คือการแก้ไขพระราชบัญญัติที่เป็นอำนาจนิติบัญญัติ ที่สำคัญสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการวิสามัญที่เป็นผู้อนุมัติงบประมาณจะไม่มีโอกาสทราบเลยว่ารายการนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยการโอนของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่สภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการวิสามัญจะแปรญัตติให้ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี ๒๕๖๘ ไม่ให้เป็นกฎหมาย FAKE LAW ครับ
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต

ตอกหน้าฝรั่งดูแคลน! ประภาส เปิดอภินิหารคำว่า แล้ว พิสูจน์ความลึกซึ้งที่เหนือกว่า Tense
(คลิป) สื่อเขมร รายงานจริงครั้งแรก! ไทย ใช้ F-16 ทิ้งบอมปอยเปตพังท่องเที่ยวกัมพูชา
ปราชญ์ สามสี สดุดี จ่าเริง วีรบุรุษเนิน 350 ผู้ปกป้องแผ่นดินด้วยชีวิต
ทรัมป์ กร้าว ต้องการ กรีนแลนด์ เพื่อความมั่นคงของ สหรัฐฯ
เขมรกล่าวหาไทย ทิ้งระเบิด พ่นควันพิษ เป็น อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี