คำว่า “FAKE LAW” มีความหมายได้หลายนัยขึ้นอยู่ว่าจะใช้ในเรื่องอะไร ความหมายโดยทั่วไป หมายถึง อำพราง ฉ้อฉล หลอกลวงที่อาจจะนำมาปรับใช้กับกฎหมายของบ้านเราที่มีอยู่หลายฉบับ โดยเฉพาะกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ได้พิจารณาวาระแรกในสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ ๑๙ ถึงวันที่ ๒๑ มิถุนายน และคงจะได้ลงมติรับหลักการในวาระที่ ๑ โดยตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาในรายละเอียดในวาระที่ ๒ต่อไป
แต่เมื่อได้ฟังการอภิปรายในวาระแรกไม่มี สส. ท่านใดกล่าวถึงการเป็นกฎหมายฉ้อฉล อำพราง หรือกฎหมาย FAKE LAW ที่อยู่ในร่างฉบับนี้เลย
งบประมาณปี ๒๕๖๘ ได้ตั้งไว้ เป็นจำนวนไม่เกิน ๓,๗๕๒,๗๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นงบประมาณ รายจ่ายงบกลางจำนวน ๘๐๕,๗๔๕,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
รายการในงบกลางเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตั้งไว้ ๙๕,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามวินัยการคลังนั้น งบประมาณรายจ่ายงบกลาง ให้ตั้งได้เฉพาะกรณีที่มีเหตุผลและความจำเป็นที่ไม่อาจจัดสรรหรือไม่สมควรจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้โดยตรง
ดังนั้นการแจกเงิน “ดิจิทัลวอลเล็ต” จึงไม่อยู่ข่ายที่จะ “ซุก” ไว้ในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในงบกลาง ทำไมไม่แยกตั้งไว้เป็นการเฉพาะในงบของส่วนราชการที่มอบหมายให้ดำเนินการในเรื่องนี้
ส่วนงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ตั้งไว้เป็นจำนวน ๔๑๐,๒๕๓,๖๗๕,๙๐๐ บาท และทุกปีงบประมาณที่ผ่านมาในมาตรานี้ไม่แยกให้เห็นว่า เป็นต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นจำนวนเท่าไร จึงทำให้ไม่ทราบว่า ถ้ากระทรวงการคลังจะกู้เงินเป็นเงินบาทตามเพื่อชดเชยขาดดุล หรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ ตามมาตรา ๒๑ คือ
(๑) ร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น และ
(๒) ร้อยละแปดสิบของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับสำหรับคืนเงินต้น
ถามว่า ถ้าจะกู้ตาม (๒) จะใช้วงเงินใดเป็นตัวคำนวณคงไม่ใช่วงเงิน ๔๑๐,๒๕๓,๖๗๕,๐๐๐ บาท เพราะวงเงินนี้รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย รวมกันอยู่ในจำนวนนี้ (แท้จริงคือจำนวนนี้ใช่หรือไม่? จำนวน ๔๑๐,๒๕๓,๖๗๕,๙๐๐ บาทมีต้นเงินกู้ จำนวน ๑๕๐,๑๐๐ ล้านบาท เป็นดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน ๒๖๐,๑๕๓.๗ ล้านบาท)
นี่แหละคือผลแห่งการอำพรางวงเงินกู้ทั้งต้นและดอกเบี้ยไว้รวมกัน ทั้งๆที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ วรรคแรกได้บัญญัติแยกไว้เป็นรายจ่ายตามข้อผูกพันมี ๓ อย่าง คือ
(๑) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้
(๒) ดอกเบี้ยเงินกู้
(๓) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ข้อวิเคราะห์ประการต่อไป เป็นเรื่อง “เงินราชการลับ” ที่ผู้เขียนไม่ได้คัดค้านการที่หน่วยงานที่ในด้านความมั่นคงจะต้องมีเงินราชการลับ และไม่อาจเปิดเผยได้ในการนำไปใช้จ่าย แต่วงเงินนั้นเปิดเผยได้และต้องเปิดเผยในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ไม่ใช่นำไป “ซุก” ไว้ในเอกสารประกอบงบประมาณที่ไม่มีศักดิ์เป็นกฎหมาย แต่กลับไม่มีการตั้งกำหนดวงเงินไว้ในตัวพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย (ดู เอกสารงบประมาณ ฉบับที่ ๓งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ เล่ม ๑งบกลาง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม)
เช่นเดียวกัน เงินราชการลับ ๑๗ รายการ ของส่วนราชการต่างๆ ที่จำเป็นต้องมีกลับไปตั้งไว้ในงบรายจ่ายอื่นของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปีนี้มีวงเงิน ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เหตุใดจึงไม่ตั้งไว้เป็นของส่วนราชการนั้น เพราะส่วนราชการนั้นจะรู้ถึงความจำเป็นที่แท้จริงในการใช้ยิ่งกว่าสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (เอกสารงบประมาณ หน้า ๓๘๐-๓๘๑)
ดังเช่นของกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานในสังกัดได้ตั้งไว้ในหน่วยงานนั้นก็จริง แต่อยู่ในเอกสารงบประมาณ ฉบับที่ ๓ แต่ไม่ตั้งไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงกลาโหม ที่จะไม่รายการ “เงินราชการลับ” ในทุกหน่วยงานที่สังกัดนี่คือการเป็น FAKE LAW ใน “เงินราชการลับ”ของกระทรวงกลาโหม
ดังตัวอย่างในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ หน้า ๗
๒. กองทัพบก รวม ๓๖,๔๔๘,๒๒๓,๔๐๐ บาท
(๑) แผนงานพี้นฐานด้านความมั่นคง ๑๓,๕๔๓,๑๓๙,๒๐๐ บาท
(๒) แผนยุทธศาสตร์เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ ๒๘๖,๙๕๐,๐๐๐ บาท
(๓) แผนยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง ๓,๓๐๔,๐๙๙,๘๐๐ บาท
(๔) แผนยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพป้องกันประเทศและความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ ๑๙,๒๙๖,๗๖๓,๐๐๐ บาท
(๕) แผนงานยุทธศาสตร์ ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๑๗,๒๗๑,๔๐๐ บาท
ในห้าแผนนั้นๆ จะต้องมี “เงินราชการลับ”แต่ไม่รู้ว่า “เงินราชการลับ” อยู่ในแผนงานใด วงเงินมากน้อยอย่างไร
“เงินราชการลับ” เป็นรายการตามกฎหมายวิธีการงบประมาณจะต้องตั้งไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี และถ้าจะมีการโอนจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๓๕ และ ๓๖ วรรคแรก ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ ที่กำหนดหลักเกณฑ์การโอนเงินราชการลับไว้ ดังนี้
“งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณที่กำหนดไว้ในแผนงานหรือรายการใดตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย.....จะโอนหรือนำไปใช้ในแผนงานหรือรายการอื่นมิได้ เว้นแต่จะได้อนุมัติจากผู้อำนวยการแต่ผู้อำนวยการจะอนุมัติมิได้ในกรณีที่เป็นผลให้เพิ่มรายจ่ายประเภทเงินราชการลับ....เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี”
จะเห็นได้ชัดเจนว่า “เงินราชการลับ” จะต้องเป็นรายการในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย จึงจะดำเนินการโอนตามมาตรานี้ได้
ที่เป็น FAKE LAW เพราะรายการต่างๆ และวงเงินนั้นเป็นรายการที่เป็นกฎหมายตามมาตราต่างๆ ในพระราชบัญญัติว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว การให้อำนาจผู้อำนวยการสำนักงบประมาณที่เป็นข้าราชการประจำแก้ไขวงเงินโดยการโอน ก็คือการแก้ไขพระราชบัญญัติที่เป็นอำนาจนิติบัญญัติ ที่สำคัญสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการวิสามัญที่เป็นผู้อนุมัติงบประมาณจะไม่มีโอกาสทราบเลยว่ารายการนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยการโอนของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่สภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการวิสามัญจะแปรญัตติให้ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี ๒๕๖๘ ไม่ให้เป็นกฎหมาย FAKE LAW ครับ
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี