เมื่อวานนี้ 24 มิถุนายนเป็นวันครบรอบ 92 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร..ที่ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จากในหลวงรัชกาลที่ 7 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475..มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..พูดให้เข้าใจง่าย ก็คือ..ระบอบที่“พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ”
และจนบัดนี้ 92 ปีผ่านไป..ประชาธิปไตยที่เพ้อฝันซึ่งลอกแบบมาจากชาติตะวันตกโดยคณะราษฎรนั้น นอกจากจะยังไม่บังเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในประเทศนี้แล้ว..ประการที่สำคัญ ก็ยังไม่เป็นไปตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ดังความตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาของพระองค์ที่ทรงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติ..เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2477 ว่า
“ข้าพเจ้าเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป..แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด.. คณะใด..โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด..และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”
นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นต้นมา..เรามีรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดบังคับใช้มาแล้วจนถึงปัจจุบัน 20 ฉบับ..ฉบับแรกคือ“พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475” และฉบับปัจจุบัน คือรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ผ่านความเห็นชอบจากการลงประชามติของประชาชน 16.8 ล้านเสียง--เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559
ข้อดีของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งเวลานี้กำลังจะถูกนักการเมืองฉีกทิ้งโดยมีพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลเป็นตัวตั้งตัวตี..ที่จะยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมานั้น..มีข้อดีที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริงอยู่สามประการ
ประการแรก เป็นรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิโดยตรงแก่ประชาชน..ซึ่งนอกจากสามารถเข้าชื่อกันเพื่อที่จะเสนอกฎหมายและนโยบายได้แล้ว..ก็ยังกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ตลอดจนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ..การต่อต้านการทุจริต รวมทั้งการตัดสินใจทางการเมืองและอื่นๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อประชาชน
ประการที่สอง เป็นรัฐธรรมนูญ“ฉบับปราบโกงนักการเมือง”..ซึ่งมีความเข้มข้นในการควบคุมและจัดการกับนักการเมืองที่ฉ้อฉล..โดยมีบทกำหนดโทษที่รุนแรง..ทั้งการถอดถอนออกจากตำแหน่งอันเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมที่ใครทำผิดต้องพ้นจากตำแหน่ง..ไม่ว่าจะเป็น สส.หรือนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี..อีกทั้งยังมีผลทำให้ทั้งรัฐมนตรี สส. และนักการเมืองในระดับท้องถิ่นที่ผิดมาตรฐานทางจริยธรรม..ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองไม่ให้เข้าสู่การเมืองตลอดชีวิต..ทั้งการตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งถาวร และการห้ามมีตำแหน่งทางการเมือง เป็นต้น
ข้อดีประการที่สองของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ดังที่กล่าวนี้..มีกรณีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมให้เห็นในเวลานี้ ก็คือ การที่กลุ่ม 40 สว. ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี..เรื่องการแต่งตั้ง“ทนายถุงขนม-นายพิชิต ชื่นบาน” ที่ผิดมาตรฐานทางจริยรรมอย่างร้ายแรงเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
และประการที่สาม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก..และส่งผลให้พรรคเพื่อไทยและ สส.ของพรรคการเมืองต่างๆ ที่มี“สันดานขี้โกง”อยู่ในดีเอ็นเอประเภท“วัวสันหลังหวะ”ต้องการจะฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญฉบับนื้ให้ได้ นั่นก็คือ..คดีทุจริตประพฤติมิชอบในตำแหน่งหน้าที่จากการคอร์รัปชั่นไม่มีอายุความ..แม้ว่านายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่กระทำผิด จะหลบหนีไปอยู่แห่งหนตำบลใดนานแสนนานแค่ไหนคดีความก็ไม่หมดอายุ..มีแต่ความตายเท่านั้นจึงจะทำให้หลุดพ้นจากคดีในชาตินี้ได้
โดยรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 บัญญัติให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง..และศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง..มีอำนาจไม่ต้องนับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหารือจำเลยในคดีทุจริตหลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ..และนอกจากนั้น ศาลก็ยังสามารถพิจารณาคดีลับหลังได้อีกด้วย
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงพยายามที่จะฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ได้ และการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่..ไม่เพียงแต่ประชาชนจะไม่ได้ประโยชน์เท่านั้น..ประเทศชาติก็จะต้องเสียเงินงบประมาณแผ่นดินอีกไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท..สำหรับการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญบับใหม่..เป็นรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้แก่นักการเมืองแค่หยิบมือเดียว
นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตประธานรัฐสภา วัย 85 ปี ซึ่งเป็น สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีพรรษาทางการเมืองสูงที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร ณ เวลานี้ โดยเป็น สส.มาแล้ว 17 สมัย นับตั้งแต่ปี 2512 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน..กล่าวปาฐกถาในงาน “แนวหน้า TALK ครั้งที่1” เมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่โรงแรมอัศวิน แกนรนด์ คอนเวนชั่น เขตหลักสี่ กทม. เกี่ยวกับ“วาระ 92 ปีประชาธิปไตย”ไว้น่าคิด--นายชวนกล่าวว่า
“92 ปีประชาธิปไตยเติบโตขึ้นมาตามลำดับ ในสภาฯเรา..ปัจจุบันมีคนมีความรู้เยอะมาก ความเปลี่ยนแปลงเป็นบวกมีเยอะ..แต่มีทางลบด้วย ก็คือธุรกิจทางการเมืองเข้ามา..เหมือนโรคอุบัติใหม่ ที่ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า..ซื้อเสียง ซื้อสส. ซื้อพรรคการเมืองให้ใหญ่ขึ้น..และคนเหล่านั้นไม่ยอมรับว่าใช้ประชาธิปไตยเป็นบันไดไปขึ้นสู่อำนาจ..เมื่อสิ่งนี้เข้ามาเกี่ยวข้องก็ต้องคู่กับเลือกตั้ง..นักการเมืองต้องมีเงินเพื่อมาเลือกตั้งให้ชนะ..ก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกระดับตามมา--ประชาชนเบื่อหน่าย”
ข้อคิดดังกล่าวของนายชวน หลีภัย ย่อมมิอาจปฏิเสธได้ว่า..การที่ประชาธิปไตยยังไม่ก้าวไปถึงไหน นั่นก็เพราะประชาชนเกิดเบื่อหน่ายเป็นประเด็นสำคัญ..เพราะประชาชนต่างก็เห็นว่า เมื่อเลือก สส.คนไหนเข้าไปก็ประสบแต่ความผิดหวัง..เนื่องจาก สส.ส่วนใหญ่คิดแต่จะตักตวงผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง โดยอ้างคำว่า“มาจากประชาชน”บังหน้า
อันที่จริงแล้ว ระบอบประชาธิปไตย--ถือเป็นภาวะแห่งจิตอย่างหนึ่ง ถ้าหากภาวะแห่งจิตอันเป็นประชาธิปไตยขาดไปเสียแล้ว..ไม่ว่ารัฐธรรมนูญ, กฎหมาย หรือระเบียบกฎเกณฑ์ข้อบังคับใดๆ ที่วางไว้..ต่อให้เขียนอย่างเลอเลิศแค่ไหน ก็มิอาจทำให้ประชาธิปไตยบังเกิดขึ้นได้..เพราะภาวะแห่งจิตอันเป็นประชาธิปไตยนั้น ต้องเกิดขึ้นทั้งจากนักการเมือง และจากประชาชน
ถ้านักการเมืองเอาแต่อ้างประชาธิปไตย โดยที่สันดานโกงกินไม่ยอมเปลี่ยน ประชาชนก็ย่อมเบื่อหน่ายและขาดศรัทธา..ซึ่งในที่สุดประชาธิปไตยก็บังเกิดขึ้นอย่างแท้จริงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม วันนี้ถ้าเดินไปถามชาวบ้าน-ชาวบ้านคงจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า...อยากเห็นนักการเมือง หรือ สส.ที่มาจากการเลือกตั้งควรจะเปลี่ยนสันดานตนเอง..มากกว่าที่ประเทศชาติจะต้องเสียเงินเป็นหมื่นล้านเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่
เพราะรัฐธรรมนูญเขียนใช้กันมาแล้ว 20 ฉบับในรอบ 92 ปี..ทุกฉบับก็ว่าดี..แต่สุดท้ายก็ถูกฉีกทิ้ง-แล้วก็เขียนขึ้นใหม่..วนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จักจบจักสิ้น !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี