ข่าวคนรุ่นใหม่วัย 20 ปี ลอบยิงอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างการปราศรัยในเพนซิลเวเนียนับเป็นข่าวใหญ่ในรอบปีที่สร้างความตกอกตกใจ ทำให้คนขวัญอ่อนทั่วโลก เกิดความวิตกกังวล มีการวิเคราะห์ วิจารณ์ต่างๆ นานา ถึงเหตุจูงใจในความพยายามลอบสังหาร ว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2024
หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า เป็นผลงานของผู้ก่อการร้ายหลายฝ่าย และฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิดสร้างสถานการณ์ แต่หากมองจากความเป็นจริงด้วยสติปัญญา จะพบว่า การต่อสู้ทางการเมืองที่เอากันถึงตาย ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1865 ถึงปัจจุบัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกลอบสังหารแล้ว 4 คนมีความพยายามลอบสังหารประธานาธิบดีและผู้สมัครประธานาธิบดี ตลอดถึงว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี มาแล้ว 13 คน รวมทั้งนายทรัมป์ที่มือปืนพยายามลอบสังหาร เมื่อวันที่13 กรกฎาคมที่ผ่านมา จึงพูดได้ว่า ความรุนแรง การนองเลือด ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประเทศเสรีประชาธิปไตย ที่รวมเอาคนหลายชาติหลายภาษาเข้าเป็นสหรัฐอเมริกา
ความรุนแรงในสหรัฐฯพัฒนาจากเหยียดผิวเกลียดชังเชื้อชาติ เป็นความขัดแย้งแย่งชิงผลประโยชน์มหาศาลจากทางการเมืองทั้งในประเทศและทั่วโลก ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่บ่งชี้ว่า นักการเมืองอเมริกันขัดแย้งกันเรื่องชาวบ้านต่างประเทศมากกว่าเรื่องภายในประเทศ ในทศวรรษ 1970 สังคมการเมืองในสหรัฐฯขัดแย้งกันรุนแรงเรื่องสงครามเวียดนาม ฝ่ายต่อต้านสงครามกับฝ่ายสนับสนุนสงครามประท้วงปะทะกันรายวัน ว่ากันว่าระหว่างความขัดแย้งรุนแรงปี 1971-1972 มีการใช้ระเบิดทำลายล้างกันถึง 2,500 ครั้ง
อเมริกันชนเจเนอเรชั่นต่อมา จึงสืบทอดความรุนแรงบ้าคลั่ง สังคมอเมริกามีแต่ความโหดร้ายกราดยิงกันตายกว่าสี่หมื่นคนในแต่ละปี ในประเทศที่มีอาวุธปืนมากกว่าประชากร 333 ล้านคน ซึ่งผลการสอบสวนพบว่า มือปืนที่กราดยิงคนตายส่วนใหญ่ เกิดจากภาวะจิตไม่ปกติหรือไม่ก็เกิดจากเก็บกดทางการเมือง จึงอนุมานได้ว่า มือปืน วัย 20 ปี ที่พยายามลอบยิงอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มีแรงจูงใจจากอาการเก็บกดทางการเมือง และแรงกระตุ้นให้ก่อความรุนแรงในอเมริกา อาจเกิดจากวาทกรรมที่เลวร้ายของผู้นำทางการเมืองเหมือนกับในประเทศไทยที่ความรุนแรงถูกกระตุ้นโดยวาทกรรมเลวร้ายเช่น..
“ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เป็นอุปสรรคการบริหารงานของรัฐบาล” เมื่อนำวาทกรรมนี้ไปปลุกเร้าขยายความทำให้สมุนบริวารคลั่ง ถึงขั้นขู่แขวนคอรัฐบุรุษกลางสนามหลวง หรือ วาทกรรมที่ว่า “ผมไม่เป็นสุขประเทศไทยอย่าได้หวังว่าจะอยู่กันอย่างเป็นสุข” หรือแม้แต่วาทกรรมปลุกเร้าที่ว่า “ผมแพ้ไม่ได้...อย่ากลับบ้านมือเปล่า..” วาทกรรมเลวร้าย ที่คลุมเครือทำนองนี้ปลุกเร้าให้ผู้สนับสนุนฆ่าทหาร สังหารประชาชนฝ่ายตรงข้าม เผาบ้านเผาเมือง ถล่มการประชุมอาเซียนซัมมิกได้ แล้วทำไมวาทกรรมเลวร้ายถึงไม่สร้างความรุนแรงในอเมริกาล่ะ
ผู้เขียนจึงสนับสนุนความเห็นของรัสเซียที่เชื่อว่าความรุนแรงในอเมริกาเกิดจากการยั่วยุทางการเมืองดมิทรี เปสคอฟ โฆษกวังเครมลิน กล่าวกับสื่อมวลชนว่า “เราไม่เชื่อว่าความพยายามกำจัดและลอบสังหารทรัมป์ บงการโดยรัฐบาลปัจจุบัน..แต่บรรยากาศรอบๆ ต่อการเสนอตัวของทรัมป์ ยั่วยุในสิ่งที่อเมริกากำลังเผชิญอยู่ในวันนี้” เปสคอฟ ระบุด้วยว่า “ความร้อนแรงทางการเมืองเกิดจากความพยายามต่างๆในการขับไล่แคนดิเดตทรัมป์ ออกจากเวทีทางการเมือง ใช้เครื่องมือทางกฎหมายเป็นลำดับแรก ตามด้วยศาลและอัยการ และพยายามดิสเครดิตทางการเมือง มันชัดเจนกับบรรดานักสังเกตการณ์จากภายนอกทั้งหมดว่าชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย”
ความเห็น เปสคอฟ สะท้อนไปในทิศทางเดียวกับพันธมิตรรีพับลิกันของทรัมป์ ที่ออกมากล่าวโทษไบเดน ในทันที อาทิ ประธานสภา ไมค์ จอห์นสัน และคนอื่นๆ ตำหนิ ไบเดนที่พูดก่อนหน้านี้ว่า “เอาเป้าเล็งไปวางที่ทรัมป์”
ไบเดนพูดกับผู้บริจาคเงินช่วยหาเสียงเขาหลังจากเพลี่ยงพล้ำโต้วาทีกับทรัมป์ เมื่อปลายเดือนมิถุนายน ไบเดนกล่าวประโยคหนึ่งว่า “เอาเป้าเล็งไปวางที่ทรัมป์” ผู้สนับสนุนเขาเลยเหมาเอาว่า ไบเดนสั่งฆ่ากลายๆ
นี่เป็นตัวอย่างที่นักการเมืองอเมริกันฉวยโอกาสขยายความโจมตีฝ่ายตรงข้ามเพื่อปลุกเร้าผู้สนับสนุนให้สร้างความรุนแรง ผู้สนับสนุนทรัมป์ ผู้มีวาทกรรมสร้างความเกลียดที่หยาบคายขยายความคำปราศรัยของไบเดนประโยคหนึ่งที่ว่า “ทรัมป์เป็นเผด็จการอำนาจนิยมฟาสซิสต์ที่ต้องหยุดเขาให้ได้ด้วยวิธีไหนก็ตาม” ผู้สนับสนุนเขานำไปขยายความปลุกปั่นว่า เป็นการคุกคามเอาชีวิตทรัมป์
ระหว่างการรณรงค์หาเสียงทั้งสองฝ่าย มักนำเรื่องส่วนตัวที่พัวพันกิจการต่างประเทศมาโจมตีใส่ร้ายกัน ฝ่ายรีพับลิกันโจมตีไบเดนกับลูกชายว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนในยูเครน ฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายวัย 54 ปี ของประธานาธิบดีเป็นขี้ยา ที่ถูกคณะลูกขุนตัดสิน มีความผิดคดีอาญา ในข้อหาปิดบังข้อมูลติดยาเสพติดขณะขอใบอนุญาตซื้อปืน
ไบเดน โจมตี ทรัมป์ ว่า เป็นเผด็จการอำนาจนิยมผู้ปลุกปั่นสั่งการให้ก่อขบถในสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เป็นเหตุให้มีคนตาย 6 ศพ และทรัพย์สินของรัฐเสียหาย ทรัมป์ จึงไม่มีสิทธิ์สมัครประธานาธิบดีอีกต่อไป การรณรงค์หาเสียงในอเมริกา เน้นการโจมตีกันไปมาด้วยวาทกรรมหยาบคาย เกลียดชัง สร้างความโกรธแค้นในหมู่ผู้สนับสนุนที่ไร้วุฒิภาวะ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นเหตุให้ก่อความรุนแรง ครั้งแล้วครั้งเล่าซ้ำรอยความขัดแย้งรุนแรงครั้งต่อต้านสงครามเวียดนาม
การเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน ที่จะมาถึงรีพับลิกันกับเดโมแครต มีขัดแย้งกันกลายๆ ในประเด็นสงครามยูเครน ที่ประธานาธิบดีไบเดน ยืนกรานส่งอาวุธให้ยูเครนทำสงครามกับรัสเซียต่อไป ในขณะที่ทรัมป์สนับสนุนยุติสงคราม
แหล่งข่าวใกล้ชิด ทรัมป์ ระบุว่า รัฐสมาชิกยุโรปของกลุ่มนาโต ที่ไม่ใช้จ่ายงบประมาณด้านการทหารอย่างน้อย 2% ของจีดีพี จะไม่ได้รับคำรับประกันด้านกลาโหม และความมั่นคงจากสหรัฐฯ อีกต่อไป เอลบริดจ์คอลบี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยด้านยุทธศาสตร์ของรัฐมนตรีกลาโหมสมัยทรัมป์ บอกกับ โพลิติโก “เราไม่อาจทุ่มทุนหักคมหอกของเราในยุโรปไปกับรัสเซีย ในขณะที่เรารู้ดีว่า จีนและรัสเซียกำลังร่วมมือกัน และจีนเป็นภัยคุกคามที่อันตรายและสำคัญกว่า”
โพลิติโกรายงานอ้างแหล่งข่าวด้วยว่า ทรัมป์ให้คำมั่นกับประธานาธิบดีปูตินว่า นาโตจะไม่ขยายอิทธิไปทางตะวันออก จากท่าทีผ่อนปรนต่อมอสโกนี้เอง ทำให้พรรคเดโมแครตโจมตีว่า รัสเซียใช้ความพยายามทุกทางให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จะเห็นได้ว่า การเมืองในอเมริกานำความเห็นแตกต่างกันมาโจมตี ใส่ร้ายกันในที่สาธารณะด้วยภาษาที่หยาบคาย สร้างความเกลียดชังให้อีกฝ่าย จึงเป็นเหตุให้ผู้สนับสนุนทั่วไปที่คุมอารมณ์ไม่ได้ ใช้ความรุนแรงกับอีกฝ่าย
สำหรับผลกระทบต่อประเทศไทย ไม่ว่าเดโมแครต หรือรีพับลิกันชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน เท่าที่ประสบการณ์ทำข่าวภาคสนามพบว่าทุกครั้งที่เดโมแครตเป็นรัฐบาลความเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันจากพรรคการเมือง ภาคประชาสังคมตลอดถึงเอ็นจีโอที่รับเงินรับงานต่างชาติมักรุนแรง เช่น ในปี 2552-2553 คริสตี้ เคนนีย์ ทูตสหรัฐประจำประเทศไทย บ่อยครั้งพบว่าเธอไปนั่งหลังเวทีเสื้อแดงและมีปฏิสัมพันธ์กับนักเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบัน
ในสมัยทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี เขาปลดคริสตี้ เคนนีย์ ที่ปรึกษากงสุลกระทรวงต่างประเทศพร้อมทีมงานออกจากตำแหน่งตั้งแต่นั้นมาการเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันก็เงียบไป จนกระทั่ง โจ ไบเดน จากเดโมแครตเป็นประธานาธิบดีความเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันในประเทศไทยเกิดขึ้นอีกครั้ง จากคนรุ่นใหม่และพรรคการเมืองที่แนบแน่นกับสถานทูตสหรัฐ การต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ครั้งใหม่ รุนแรงเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี