ยามที่บ้านเมืองประสบภัยพิบัติจากฝนตกน้ำท่วม ภาพที่เห็นคุ้นตา คือกำลังพลทหารที่เป็นรั้วของชาติลุยน้ำแบกข้าวแบกของและสิ่งบรรเทาทุกข์พระราชทานไปมอบให้ชาวบ้าน พร้อมกับ“โรงครัวพระราชทาน”ที่เข้าไปตั้งในพื้นที่ประสบภัย
คงไม่ต้องถามว่า“มีทหารไว้ทำไม ?” แต่ควรจะถามว่า “มี สส.และรัฐบาลไว้ทำไม ?”มากกว่า
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย, พะเยา, แพร่และสุโขทัย สส.พรรคฝ่ายค้าน คือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิหัวหน้าพรรคประชาชน ออกมาบอกว่าไม่สามารถไปแจกข้าวแจกของช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยได้เพราะติดขัดในข้อกฎหมาย โดยอ้างว่าก่อนที่จะมีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นภายใน 180วัน ไม่สามารถแจกของได้ จึงต้องระมัดระวัง และพูดเลยเถิดไปถึง“ระบบอุปถัมภ์”ว่าการแจกของให้แก่ประชาชนจะกลายเป็นว่า ทำให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกว่าต้องตอบแทนบุญคุณ
ขณะที่เราเห็นภาพที่ปรากฏเป็นข่าว ช่วงน้ำท่วมใน 4 จังหวัดดังกล่าวที่ว่านั้น ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2567 เป็นต้นมาก่อนหน้าที่จะท่วมหนักในพื้นที่จังหวัดเชียงรายโดยเฉพาะที่อำเภอแม่สายช่วงวันสองวันมานี้ ก็เห็นมีแต่ทหารจากมณฑลทหทารบกที่ 34, มณฑลทหารบกที่36 และมณฑลทหารบกที่ 37 ได้ระดมกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเร่งด่วน ทั้งที่จังเชียงราย, จังหวัดพะเยา,จังหวัดแพร่ และจังหวัดน่าน
และที่จะต้องเทิดทูนไว้เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ โรงครัวพระราชทาน ที่เป็นหลักพึ่งพิงของพสกนิกรได้ในยามทุกข์ยากเดือดร้อนจากพิบัติภัยต่างๆนั้นก็เพราะ, ดังพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า 'ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องที่รอไม่ได้'
ในหลวงรัชกาลที่ 10ทรงมีพระราชประสงค์ต้องการให้กองทัพมีเครื่องไม้เครื่องมือและยุทโธปกรณ์สำหรับใช้ในยามที่ประชาชนประสบภัยพิบัติ เพื่อเข้าช่วยเหลือ และผจญเหตุ-ผจญภัย ได้ในทุกพื้นที่ทุกสถานกาณ์
วันนี้จึงเห็นครัวพระราชทานที่มีกำลังพลทหารคอยหุงหาอาหารดูแลพี่น้องประชาชน ไปตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งชาวบ้านประสบภัยอย่างทันท่วงที ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือและยุทโธปกรณ์ที่พร้อมสรรพดังพระราชประสงค์ คือมีครัวเคลื่อนที่เร็ว หรือที่เรียกว่า“heavy duty food truck” สามารถผลิตอาหารปริมาณมากได้รวดเร็ว
สำคัญที่สุด “ครัวเคลื่อนที่เร็ว”นี้ ยังสามารถควบคุมสุขลักษณะ ทำให้อาหารที่ปรุงสำหรับบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านปลอดภัยได้สุขอนามัย ด้วยทรงตระหนักว่า หลายครั้งที่เกิดภัยพิบัติความสะอาดของอาหารเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมวิกฤต มีความเสี่ยงต่อโรคระบาด โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร และในครัวเคลื่อนที่เร็วนี้ยังมีรถกรองน้ำดื่มอยู่ในขบวนด้วย
ย้อนภาพกลับไปดูเหตุการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่และจังหวัดน่านช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นอกจากจะเห็นกำลังพลทหารเดินลุยน้ำระดับท่วมอกพร้อมแบกข้าวของสิ่งยังชีพพระราชทานเข้าไปถึงชาวบ้านผู้ประสบภัยทุกหลังคาเรือนแล้ว โรงครัวพระราชทานก็ถึงทันทีเช่นกัน
หากดูภาพเปรียบเทียบ กับรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งของประชาชนและชอบอ้างประชาชนหากิน,แล้วจะเห็นเป็นอย่างนี้ วันที่ 24 สิงหาคม 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตรหรือ“มาดามแพ”นายกรัฐมนตรีที่ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าหน้าผมมากกว่าสิ่งใด ออกไปตรวจน้ำท่วมในพื้นที่ที่จังหวัดน่านในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยอ้างว่าเวลานี้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ถวายสัตย์และรัฐบาลยังไม้ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
การเดินทางไปในวันนั้นของ“มาดามแพ” จึงเหมือนเป็นการไปออกงานอีเว้นท์ ไปผัดข้าวผัดโชว์เพื่อสร้างภาพ เพราะถูกจับผิดได้ว่า ข้าวที่กำลังใช้สองมือผัดอยู่ในกระทะนั้น ไม่ได้มีการจุดไฟที่เตา แต่นำข้าวที่ผัดเสร็จแล้วและกำลังจะบรรจุใส่กล่องไปแจกผู้ประสบภัย..มาเทลงใส่กระทะใหม่เพื่อจัดฉากให้สื่อได้บันทึกภาพเผยแพร่ออกเป็นข่าว เหมือนเช่นที่นักการเมืองบ้านเราถนัดกัน..คือใช้วาทกรรมและการสร้างภาพมากกว่าการลงมือปฏิบัติ
มาถึงวันนี้ ภัยน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงรายและที่อำเภอแม่สายถือว่าวิกฤตมาก รวมทั้งที่อำเภอแม่อายจังหวัดเชียงใหม่ โดย“มาดามแพ-นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” กับนายภูมิธรรม เวชยชัยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซึ่งใครไม่รู้ก็นึกว่าเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง..ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันที่ 11กันยายนวานนี้ว่า..รัฐบาลยังทำอะไรไม่ได้เพราะยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กล่าวด้วยข้ออ้างเดิมเช่นเดียวกับที่ลงตรวจพื้นที่น้ำท่วมจังหวัดน่านว่า แม้ขณะนี้ยังไม่สามารถสั่งการอะไรได้ เนื่องจากยังไม่ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่ได้อัพเดทข้อมูลกับนายภูมิธรรม เวชยชัยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว..ทราบว่าได้จัดกำลังทหารลงไปในพื้นที่เรียบร้อยแล้ว
“มาดามแพ”นายกรัฐมนตรีที่มีวันนี้“เพราะพ่อให้”ยังกล่าวอีกว่า“ขณะนี้ทุกฝ่ายเตรียมความพร้อมทุกอย่างที่สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้ และเมื่อสถานการณ์น้ำดีขึ้นพอที่จะสามารถเข้าพื้นที่ได้ ก็จะเข้าพื้นที่ทันที แต่ขณะนี้ในส่วนของทหารก็มีการเตรียมความพร้อมไว้ทั้งหมดแล้ว เรื่องนี้ต้องให้นายภูมิธรรมเป็นผู้ให้ข้อมูลอีกครั้ง”
จากที่“มาดามแพ”ให้สัมภาษณ์สื่อดังกล่าวนั้น เธอคงไม่ทราบอะไรสักเรื่อง ด้วยความที่เป็นนายกรัฐมนตรีประเภท“มะม่วงบ่มแก๊ส” เพราะทหารหรือกองทัพนั้นไม่ต้องรอให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลไปสั่ง เวลานี้ได้เคลื่อนพลออกไปช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ประสบภัยตั้งแต่วันแรกที่เกิดสถานการณ์ โดยที่มีแผนรับมือไว้อยู่แล้ว
ส่วนนายภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวว่า“เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความห่วงใย ได้ส่งกำลังใจ สงสารประชาชน อยากให้ทุกคนปลอดภัยและเข้าสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากช่วงนี้รัฐบาลยังไม่สามารถสั่งการอะไรได้ นอกเสียจากจะต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสียก่อน ต้องรอจนกว่าจะผ่านวันที่ 12กันยายน เมื่อนายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายเสร็จ จะสามารถมีอำนาจสั่งการได้”
ฟังบุคคลทั้งสองนี้แล้วนอกจากจะปลงสังเวชแล้วก็ยังรู้สึกเวทนา ไม่น่าเชื่อว่าประเทศไทยจะมีนักการเมืองสายพันธุ์แบบนี้ขึ้นมาบริหารประเทศ เรื่องอื่นๆ ดูเหมือนจะฉลาดมากเล่ห์ แต่เรื่องนี้กับทำแกล้ง“ใสซื่อ” ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ใช้อยู่ในปัจุบัน มาตรา162 บัญญัติให้อยู่แล้วว่า “ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภา หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่จะดำเนินไปพลางก่อนเท่าที่จำเป็นก็ได้”
ก็ไม่รู้ว่าเราจะมีรัฐบาลไว้ทำอะไรให้เป็นภาระ เพราะถึงไม่มีรัฐบาล ข้าราชการประจำที่มีหน้าที่อยู่แล้วในแต่ละกระทรวง ก็สามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชานได้อยู่แล้ว และทำได้ดีกว่าด้วย เนื่องจากไม่ต้องมีใครมาบงการสร้างภาพเพื่อหาคะแนนนิยม
ถ้าอ้างอย่างที่“มาดามแพ” และนายภูมิธรรม เวชชัยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ถามว่าถ้าสมมุติว่าเกิดศึกสงคราม บ้านเมืองถูกข้าศึกทิ้งบอมบ์ เราจะต้องรอให้รัฐบาลแถลงนโยบายก่อนหรืออย่างไร ถึงจะช่วยเหลือชาวบ้านไม่ให้บาดเจ็บล้มตายได้ ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี