พิธีกรรมการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาวันแรกเมื่อวันที่ 12 กันยายนวานนี้ ยังงั้นๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่
แล้วก็เป็นไปตามคาด “มาดามแพ-แพทองธารชินวัตร”นายกรัฐมนตรี“บ่มแก๊ส”ที่มีวันนี้“เพราะพ่อให้” ท่องจำเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วนกขุนทองอ่านนโยบายของรัฐบาล สลับกับการกระแอมกระไอ เหมือนคนเป็นหวัดเพราะการอดนอนจากการทำการบ้าน แล้วก็ยกน้ำขึ้นดื่มเว้นวรรคเป็นบางช่วง ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าน้ำในแก้วเป็นน้ำสะอาด หรือว่า“ช็อกมินต์”ของโปรด และบางขณะนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ที่นั่งประกบเป็นพี่เลี้ยงอยู่ข้างๆต้องคอยยื่นกระดาษทิชชู่ให้“มาดามแพ”ซับปาก
ก่อนลงไปสู่รายละเอียดของนโยบาย นางสาวแพทองธารชินวัตร ยังไม่วายจะอวดโอ่ต่อที่ประชุมรัฐสภาว่าเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศไทย ได้ปูพื้นเกี่ยวกับปมปัญหา 9ประการของประเทศ โดยอ้างสูตรเดิมอันเป็นคาถาของนักการเมืองพรรคเพื่อไทยและ“ตระกูลชินวัตร”ที่คล้ายกับมีความอาฆาตแค้นฝังหุ่นมาตั้งแต่อดีตว่า “ประเทศไทยเราเผชิญกับความไร้เสถียรภาพทางการเมืองมาอย่างยาวนาน อันเป็นผลจากการรัฐประหาร ความขัดแย้งแบ่งขั้วที่รุนแรง รวมถึงการถอดถอนรัฐบาลออกจากอำนาจ ในแบบที่คาดเดาไม่ได้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทย ได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
อีกประการหนึ่ง, ที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ“มาดามแพ”ยกมาอ้างคือระบบราชการ โดยเธอแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า“ระบบรัฐราชการแบบรวมศูนย์และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ไม่เต็มที่ การทำงานระหว่างหน่วยงานที่มีอำนาจและบทบาทซ้ำซ้อน โครงสร้างของหน่วยราชการที่แตกกระจายและไม่ประสานร่วมมือกัน มีการขยายตัวไปสู่สำนักงานส่วนภูมิภาคมากเกินความจำเป็น ระบบขนาดใหญ่โต เทอะทะและเชื่องช้า รูปแบบการประเมินและตัวชี้วัดการทางานไม่สะท้อนความต้องการของประชาชนเท่าที่ควร ขนาดและศักยภาพ ไม่ทันกับภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป แถมยังเป็นภาระของประชาชนในการใช้บริการอีกด้วย”
ประเด็นเกี่ยวกับ“ระบบรัฐราชการ”นี้ สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเมื่อในอดีตที่มีอดีตนักโทษชายทักษิณชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยยกเป็นข้ออ้างและนำไปสู่การปฏิรูประบบราชการในปี 2545จากโครงสร้างเดิมที่มีทั้งหมด 14 กระทรวง ก็เพิ่มเป็น 20 กระทรวง เท่ากับเป็นการเกลี่ยอำนาจให้แก่“กลุ่ม-ก๊วน”ที่เป็นมุ้งเล็กมุ้งน้อยในพรรคไทยรักไทย สามารถจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีได้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังสามารถกระชับอำนาจในกระทรวงต่างๆ จากการแต่งตั้งข้าราชการที่ยอมทอดตัวรับใช้ไปลงในตำแหน่งที่สำคัญในแต่ละกระทรวง
ไม่ต้องกล่าวให้มากความก็สามารถพูดได้ว่า รัฐบาล“อุ๊งอิ๊ง1”ชุดนี้คือการกลับมาของ“ระบอบทักษิณ”เมื่อในอดีตที่ใช้นโยบายประชานิยมเป็น“เรือธง”ในการบริหารประเทศ
หากย้อนกลับไปดูในปี 2544 ที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล และมีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี ที่คนไทยจำนวนไม่น้อยในเวลานั้นเชื่อว่าคนอย่างทักษิณ“รวยแล้วไม่โกง” ได้นำนโยบายที่หาเสียงไว้ภายใต้ข้ออ้างเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นจากวิกฤตที่มีผลต่อเนื่องมาจาก“วิกฤตต้มยำกุ้ง”ในปี2540 มาปรับใช้ โดยเน้นย้ำว่า เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนในระดับฐานรากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและพ้นจากความยากจน
จะเห็นว่า“มาดามแพ”ยกวาทกรรมที่พรรคเพื่อไทยเคยโฆษณาหาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้งว่า“ดิฉันจะทำให้คนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”มากล่าวในตอนสุดท้ายของการแถลงนโยบบายต่อรัฐสภา เพื่อเสริมกับคำแถลงในช่วงแรกที่ชี้ให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนว่า “มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินครัวเรือน ซึ่งขณะนี้มีมูลค่ากว่า 16 ล้านล้านบาท หรือมากกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) ขณะที่สัดส่วนหนี้เสีย (NPLs) ก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับปัญหาหนี้นอกระบบ”
สุดท้าย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่แถลงเหมือนกับ“ลิปซิ้ง”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณชินวัตร ก็มาลงด้วยวาทกรรมที่เป็นเหตุเป็นผลสนับสนุนว่า “รัฐบาลตระหนักดีว่าความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ทั้งเรื่องปัญหาหนี้สิน รายได้ ค่าครองชีพ รวมทั้งความมั่นคงและปลอดภัยในสังคมคือ ปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ด้วยการแก้หนี้ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาที่กระทบความมั่นคงของสังคม เพื่อนำความหวังของคนไทยกลับมาให้เร็วที่สุด โดยมีนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการทันที”
นโยบายเร่งด่วนทันทีก็อาทิเช่น ”จะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ภายใต้ปรัชญาที่จะไม่ขัดต่อวินัยทางการเงิน และไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม (Moral Hazard)ของผู้มีภาระหนี้สิน ควบคู่กับการเพิ่มความรู้ทางการเงินและส่งเสริมการออมในรูปแบบใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย โดยจะดำเนินนโยบายผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ, ธนาคารพาณิชย์และบริษัทบริหารสินทรัพย์”
สรุปให้เห็นภาพ ก็คือ “ระบอบทักษิณ”สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ดำเนินนโยบายด้วย“ประชานิยมแบบทักษิณ”หรือ“ทักษิโณมิกส์” ที่ล้างผลาญงบประมาณแผ่นดิน โดยที่การใช้จ่ายของรัฐบาลต้องใช้เงินจำนวนมาก ทั้งเงินงบประมาณแผ่นดินและเงินนอกงบประมาณ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตรแถลงนโยบายในครั้งนี้ ซึ่งนอกจากจะมุ่งเน้นไปที่ประชาชนในระดับรากฐานแล้ว “SMEs”หรือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ก็อยู่ในบริบทนี้ด้วย
ดังที่นางสาวแพรทองธาร ชินวัตรกล่าวถึง“SMEs”ว่า “รัฐบาลจะดูแลและส่งเสริมพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะSMEs จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งทางการค้าต่างชาติที่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และการแก้ไขปัญหาหนี้ของ SMEs เช่น การพักหนี้ การจัดทำ Matching Fund ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อประคับประคองให้กลับมาเป็นกลไกที่แข็งแรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”
อย่างไรก็ตาม บทเรียนจากอดีตในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีอดีตนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่บริหารประเทศด้วย“ประชานิยมแบบทักษิณ”นั้น ได้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันโกงกินกันอย่างมโหฬาร ตลอดจนมีเบื้องหลังเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนจากโครงการของรัฐ ซึ่งการที่“ทักษิณ”ต้องกลายเป็นนักโทษในคดีทุจริตประพฤติมิชอบขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเพิ่งจะพ้นโทษ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนั้น
วันนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่อาจจะกล่าวได้ว่านายกรัฐมนตรีคนนี้ไม่รู้ประสีประสาอะไรสักเรื่องเดียว จะเป็นได้ก็แค่“ร่างทรง”ของบิดา นั่นก็คือ จากคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ที่นางสาวแพทองธารระบุถึง“การพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ” ซึ่งเธอกล่าวชัดถ้อยชัดคำว่า จะต้องสำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม คือ “การเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน”
ขุมทรัพย์ใต้ทะเลที่มีมูลค่ามากกว่า“20 ล้านล้านบาท” อันเป็นปัญหา“พื้นที่ทับซ้อน”บริเวณเกาะกูดจังหวัดตราด ซึ่งเป็นปัญหาคาราคาซังระหว่าง“ไทย-กัมพูชา”มายาวนานตั้งแต่ครั้งอดีตนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะตกลงกันได้ด้วยดีระหว่าง“ตระกูลชินวัตร”กับ“ตระกูลฮุน”
แบบไทย“ครึ่งหนึ่ง-เขมรครึ่งหนึ่ง”วิน วิน กันทั้งสองตระกูล ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี