วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ยุคนี้มียาแรงเรื่องความซื่อสัตย์และมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งเป็นยาแรงของรัฐธรรมนูญ“ปราบโกงนักการเมือง”ฉบับนี้บังคับใช้อยู่ มีผลทำให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยซึ่งมีนักการเมืองที่มี“บาดแผล”ประเภททึมๆ เทาๆ อยู่เยอะ ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
แบบคิดจะแต่งตั้งใครสักคนก็ต้องคิดแล้วคิดอีก โดยเฉพาะการแต่งตั้งนักการเมืองที่เป็นข้าทาสบริวารของตนเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำหน่งใดก็ตามที่ต้องยึดโยงอยู่กับรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5)
คือต้องระมัดระวังที่จะไม่แต่งตั้งคนที่มีคุณสมบัติขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) ที่บัญญัตติไว้ว่า“มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และมาตรา 160 (5)บัญญัติไว้ว่า “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”
ยาแรงที่เป็นยาปราบโกงนักการเมืองตามข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังที่ว่านั้น กลายเป็น“ยาขม”หรือของแสลงที่พรรคเพื่อไทยกลัวจนขนหัวลุก จึงมีความพยายามที่จะยกเลิกหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4)และ (5) ให้ได้
ข้อดีที่เป็นคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองของรัฐธรรมนูญฉบับ“ปราบโกงนักการเมือง” ไม่เพียงแต่ป้องกันไม่ให้นักการเมืองชั่วที่มีสีทึมเทาทั้งหลายเข้าไปมีอำนาจได้ในระดับหนึ่งแล้ว ก็ยังเป็นคุณแก่ข้าราชการประจำในแต่ละกระทรวงในแต่ละองค์กร ที่มีโอกาสจะได้ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในหน่วยงานของตนซึ่งได้รับราชการมาทั้งชีวิต
อย่างน้อยจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมวานนี้ ก็ได้เห็นปรากฏการณ์ใหม่ ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่มี“มาดามแพ-แพทองธารชินวัตร”นั่งหัวโต๊ะในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีมติแต่งตั้งนายฉัตรชัย บางชวดรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ขึ้นเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่มีระดับซี 12เท่ากับตำแหน่งปลัดกระทรวง
นับได้ว่าข้าราชการที่เป็น“ลูกหม้อ”ขององค์กรแห่งนี้ ซึ่งเป็นองค์กรหลักของประเทศที่มีความสำคัญสูงสุดด้าน“ข่าวกรอง” เทียบกับในอดีตไม่กี่คน มีน้อยมากที่จะมีโอกาสขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตราชการ
สภาความมั่นคงแห่งชาติของบ้านเรา เป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงและข่าวกรอง..ที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี..ใช้ในการประสานงานด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ เปรียบไปก็ไม่ต่างจาก“ซีไอเอ”(CIA) หรือ“สำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐอเมริกา” (Central IntelligenceAgency) อันเป็นหน่วยงานข่าวกรองฝ่ายพลเรือนของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีหน้าที่หลัก คือ การรวบรวม,ประมวล, และวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคงแห่งชาติจากทั่วโลก
“ซีไอเอ”ใช้สายลับเป็นหน่วยสืบข่าวกรองทั้งในประเทศและทุกประเทศทั่วโลก จะว่าเหมือน“เจมส์บอนด์”สายลับของหน่วยข่าวกรองลับอังกฤษ ซึ่งเป็นพระเอกในนิยายของ“เอียนเฟลมมิง”ก็ไม่ผิดนัก โดยหัวหน้าองค์กรซีไอเอคือ“ผู้อำนวยการซีไอเอ”นั้นใหญ่โตมโหฬาร เป็นคนที่คอยป้อนข้อมูลข่าวกรองให้แก่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และรัฐมนตรีของรัฐบาลกลาง
คนที่เป็นประธานาธิบดีจะตัดสินใจผิดถูกอย่างไร ล้วนขึ้นอยู่กับข่าวกรองที่ CIA ป้อนให้ ถ้าถูกยัดไส้หรือใครมีแผนคิดไม่ซื่อต้องการจะโค่นล้มประธานาธิบดี หากตัวประธานาธิบดีถูกป้อนข้อมูลบิดๆ เบี้ยว ก็ถือว่าจบเห่ ฉะนั้นตัวบุคคลที่ขึ้นจะมาเป็นผู้อำนวยการซีไอเอจึงต้องเป็นที่ไว้วางใจได้ของประธานาธิบดี
“ข้อมูล คืออำนาจ”จึงไม่ผิดไปจากนี้ ใครมีข้อมูลอำนาจที่ถูกต้องและใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงมากที่สุดอยู่ในมือ ก็ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง และยิ่งในศตวรรษที่ 21ซึ่งเป็นโลกยุคดิจิทัล ที่ข้อมูลข่าวสารเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก “ข่าวกรอง”จึงถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง
สภาความมั่นคงแห่งชาติของไทยนั้น เคยถูกขนามนามว่าเป็น “ซีไอเอเมืองไทย”ในยุคที่ น.ต.ประสงค์สุ่นศิริ นั่งเก้าอี้เลขา สมช. ระหว่างปี 2523-2529 ในยุครัฐบาล“พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” และ น.ต.ประสงค์ก็ยังถูกบันทึกไว้ด้วยว่าเป็น“ลูกหม้อ”คนแรกของสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในหน่วยงานนี้
หากดูปูมหลัง ก็จะพบว่า น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ นั้น เป็น“เจมส์ บอนด์”มืออาชีพ โดยในปี 2509ขณะที่รับราชการที่กรมข่าวทหารอากาศได้รับทุนไปเรียนด้านข่าวกรองที่กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา หลังเรียนจบได้ย้ายไปสังกัดสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากอง 1สมช., ผู้อำนวยการกองข่าว สมช., ผู้ช่วยเลขาธิการ สมช., รองเลขาธิการ สมช.และขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ในปี 2523 ต่อจาก พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา อดีตองคมนตรีและอดีตรัฐมตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เกษียณอายุราชการ
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็น เลขาธิการ สมช.คนที่ 6 และจากจำนวนเลขาฯ สมช.ทั้งหมด 25คนจนถึงวันนี้นั้น นายฉัตรชัย บางชวด ถือว่าเป็น“ลูกหม้อ”คนที่ 7ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่มีโอกาสได้ก้าวขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุด
ส่วนเลขา สมช.คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่“ลูกหม้อ”จำนวน 18 คน โดยยกเว้น“พล.ต.หลวงวิจิตรวาทการ”เลขาฯสมช.คนแรกและมีส่วนสำคัญในการตั้งหน่วยงานแห่งนี้ที่เปลี่ยนจาก“สภาป้องกันราชอาณาจักร” มาเป็น“สภาความมั่นคงแห่งชาติ”ในปี 2502 สมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้น ล้วนแล้วมาจาก“กองทัพ”ที่เป็นนายทหารระดับพลเอก
มีเฉพาะรัฐบาล“หุ่นเชิด”ของทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่โยกนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ข้ามห้วยมาลงตำแหน่งเลขาฯ สมช.เพื่อต้องการเตะให้พ้นทาง..เช่น ในปี 2554 สมัยรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ย้ายนายถวิลเปลี่ยนศรี ซึ่งเป็น“ลูกหม้อ”ของ สมช.ออกจากตำแหน่งเลขาฯ สมช.ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และย้ายพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ข้ามห้วยมาลงตำแหน่ง เลขาฯ สมช. เพื่อเปิดทางให้พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร. และสุดท้ายในปี 2557“ยิ่งลักษณ์”ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีย้ายนายถวิล โดยศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้เป็น ผบ.ตร.
โชคดีของ“นายฉัตรชัย บางชวด”ที่เหลืออายุราชการอีก 3 ปีก่อนจะเกษียณในปี 2570 ซึ่งได้อานิสงส์ของรัฐธรรมนูญฉบับ“ปราบโกงนักการเมือง” จึงทำให้รัฐบาล“มาดามแพ”ไม่กล้าเล่นแร่แปรธาตุย้ายใครมาลงตำแหน่งนี้แบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะเวลานี้ตัว“มาดามแพ”ก็มีกรณีมาตรา 160 (4) และ (5)มัดคออยู่หลายสิบเรื่องที่ถูก“นักร้อง”ยื่นร้องไปแล้ว
เรียกว่าแม้แต่“มาดามแพ”เอง จะไปวันไหนก็ยังไม่รู้ และสุดท้ายถ้าชะตาขาด ก็คงจะเป็นคิวของ“อาหนู-อนุทินชาญวีรกูล”ของ“คุณหลานอุ๊งอิ๊งค์”เสียที โดยอ่านความเคลื่อนไหวล่าสุดจากการกินข้าวที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเมื่อไม่กี่วันมานี้ หรือเนื่องในโอกาส“เบิร์ดเดย์บอย”ระหว่าง“ทักษิณ ชินวัตร”กับ“เนวินชิดชอบ”เจ้าของวรรคทอง“มันจบแล้วครับนาย”
บรรทัดนี้ต้องพูดว่า-การเมืองของเมืองไทยนั้น“ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร”ครับ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

ฟันโช๊ะ! 'เทพไท' วิเคราะห์เบื้องหลัง 'อนุทิน' ออกแถลงการณ์ 8 ข้อ
เจ็บอื้อ50ราย! เกิดระเบิดกลางมัสยิดช่วงละหมาดในกรุงจาการ์ตา
อุตุฯเตือน! 'เหนือ–อีสาน–กลาง'เตรียมรับมือฝนตกหนัก ระวังน้ำท่วมฉับพลัน
เปิดเทอมนี้ ‘คีน’ และ ‘วง V3RSE’ ชวนเติมพลังบวก ในกิจกรรมต้านยาเสพติด ‘โครงการทูบีนัมเบอร์วัน’
‘ตั้งสติ’ ท่อนฮิต TikTok เหล่าคนดังครีเอทคอนเทนต์กันสนั่นฟีด

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี