วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
.jpg)
บรรดาที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี หรือจะเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี สุดแต่ชื่อตำแหน่งจะเรียกกันนั้น
มีบางคนที่เป็นเชื้อมูลเหตุ นำไปสู่การร้องตรวจสอบ
1. ล่าสุด นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ร้องให้ กกต.ตรวจสอบ กรณีนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์แต่งตั้ง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 319/2567 ลงวันที่16 ก.ย.2567 และการแต่งตั้ง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 348/2567 ลงวันที่ 4 ต.ค.2567 นั้น จะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
2. ประเด็นก็คือ อดีตของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งเคยต้องคำพิพากษาศาลฎีกาให้ลงโทษจำคุกมาแล้ว ก็เป็นเชื้อมูลเหตุที่ทำให้ถูกร้องตรวจสอบ
แต่จะเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่? เข้าลักษณะต้องห้ามหรือเปล่า? คงต้องติดตามผลการพิจารณาของหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง ซึ่งก็จะต้องดูแนวทางคำชี้แจงต่อสู้ของฝ่ายนายกฯ ด้วยเช่นกัน
3. กรณี นพ.สุรพงษ์นั้น ต้องยอมรับความจริงว่า ท่านเคยมีประวัติกระทำผิดจนต้องเข้าไปรับโทษในคุกจริง
เป็นความจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะอยู่แล้ว
อันที่จริง มี 2 คดีด้วยซ้ำ
3.1 คดีแก้สัมปทานดาวเทียม
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.66/2558
ป.ป.ช. เป็นโจทก์ฟ้อง
นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จำเลยที่ 1
นายไกรสร พรสุธี อดีตรองปลัดกระทรวง จำเลยที่ 2 และนายไชยยันต์พึ่งเกียรติไพโรจน์ ผอ.สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ จำเลยที่ 3
กรณีอนุมัติให้มีการแก้ไขสัมปทานดาวเทียมบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ (บริษัทไทยคม) โดยอนุมัติให้บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ไทยคม จากเดิมไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40เข้าข่ายความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้ บริษัท ชินคอร์ป
ศาลฎีกา พิพากษาให้จำเลยทั้ง 3 คน มีความผิดจริง
พิพากษาลงโทษจำคุกนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี 1 ปี ไม่รอลงอาญา
ส่วนอดีตปลัดกระทรวงไอซีที และอดีต ผอ.สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ พิพากษาจำคุก 1 ปี แต่รอลงอาญา 5 ปี เนื่องจากเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่มีอำนาจในการอนุมัติแก้ไข และสั่งปรับคนละ 20,000 บาท ทันที
โดยนพ.สุรพงษ์ได้รับโทษในเรือนจำ จนกระทั่งพ้นโทษออกมาเรียบร้อยแล้ว
3.2 คดีแทรกแซงการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิธนาคารแห่งประเทศไทย
คดีนี้ น่าจะเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกประธานคณะกรรมการ ธปท.และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ด้วย
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษา
คดีที่ ป.ป.ช.เป็นโจทก์
ยื่นฟ้อง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือหมอเลี้ยบ อดีต รมว.คลัง รัฐบาลนายสมัครสุนทรเวช เป็นจำเลย
ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เป็นเหตุให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
จากกรณีเมื่อปี 2551 นพ.สุรพงษ์ แต่งตั้งประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ (บอร์ด) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมิชอบ เนื่องจากคณะกรรมการคัดเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ดของ ธปท. บางรายมีลักษณะต้องห้าม ตาม พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2485 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 ซึ่งเคยถูกผู้ตรวจการแผ่นดินชี้มูลความผิดไปแล้ว
ศาลฎีกาฯ พิพากษาว่า นพ.สุรพงษ์ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท แต่โทษรอลงอาญา 1 ปี
ศาลพิเคราะห์เห็นว่า ในคณะกรรมการคัดเลือกฯที่ นพ.สุรพงษ์ แต่งตั้งนั้น มีอยู่ 3 ราย ได้แก่ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ นายวิจิตร สุพินิจ และนายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ทั้งสามรายเป็นกรรมการบริหารธนาคารทหารไทย กรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบธนาคารทหารไทย และรองประธานกรรมการและกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย(ขณะนั้น) ตามลำดับ ซึ่งทั้งสามธนาคารดังกล่าว อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท. ซึ่งบอร์ด ธปท. มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลนโยบายทางการเงิน และเสถียรภาพการเงินของประเทศ ดังนั้น การที่ นพ.สุรพงษ์ จงใจแต่งตั้งบุคคลทั้ง 3 ราย เพื่อให้เลือกบุคคลที่ต้องการให้เข้าไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ด ธปท. จึงอาจมีส่วนได้ส่วนเสียในอนาคตกับธนาคารที่อยู่ใต้กำกับของ ธปท. ได้
การกระทำดังกล่าว จึงขัดกับ พ.ร.บ.ธนาคารฯ มาตรา 28/1 วรรคสาม และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 มาตรา 9 ถือว่าทั้ง 3 ราย เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการคัดเลือก นพ.สุรพงษ์ จึงมีความผิดตามคำฟ้อง
3.3 เบื้องลึก บทเรียนการคัดเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ด ธปท.
รายละเอียดเชิงลึก เกี่ยวกับคดีแทรกแซงการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น
น่าศึกษาเป็นบทเรียนไว้ด้วย เพราะตอนนี้ กำลังมีการคัดเลือกประธาน บอร์ด ธปท.อยู่พอดี
ครั้งนั้น นพ.สุรพงษ์ รมว.คลัง สั่งการผ่านปลัดกระทรวงการคลัง ถึง นางพรรณี สถาวโรดม ผอ.สำนักเศรษฐกิจการคลัง (ขณะนั้น) ให้คัดเลือกรายชื่อบรรดาบุคคลผู้มีคุณสมบัติตาม พ.ร.บ.ธนาคารฯ ฉบับที่ 4
โดยใน พ.ร.บ.ธนาคารฯ ฉบับที่ 4 มีการระบุคุณสมบัติไว้ชัดเจนว่า ต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงไม่มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับ ธปท.
หลังจากนางพรรณี คัดกรองรายชื่อเสร็จแล้วและเสนอเรื่องไปยังปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อนำเรียน รมว.คลัง พร้อมกับยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ด ธปท.
โดยมีบุคคล 3 ราย ที่ถูกนางพรรณีทำเครื่องหมายดอกจันไว้ คือ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ นายวิจิตร สุพินิจ และนายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ซึ่งทั้งสามราย เป็นกรรมการบริหารธนาคารทหารไทย กรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบธนาคารทหารไทย และรองประธานกรรมการและกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย (ขณะนั้น) ตามลำดับ ซึ่งเป็นบุคคลต้องห้ามที่จะเป็นกรรมการคัดเลือกฯ ตาม พ.ร.บ.ธนาคารฯ ฉบับที่ 4
ต่อมา “หมอเลี้ยบ” ได้เรียกนางพรรณีเพื่อมาพูดคุยที่ห้องทำงาน 2-3 ครั้ง โดย“หมอเลี้ยบ” ได้เขียนรายชื่อบุคคลที่ต้องการให้เข้ามาเป็นคณะกรรมการคัดเลือกฯ 7-8 ราย ให้กับนางพรรณี โดยต้องการให้นำบุคคลเหล่านี้มาเป็นกรรมการคัดเลือกฯ ซึ่งปรากฏรายชื่อของนายสถิตย์ นายวิจิตร และนายชัยวัฒน์ รวมอยู่ด้วย ทั้งที่เป็นบุคคลต้องห้ามตามที่นางพรรณีเคยทำเครื่องหมายดอกจันเรียนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
หลังจากนั้น นางพรรณี จึงได้ดำเนินการตามที่ “หมอเลี้ยบ” สั่งการ ได้ยกร่างคำสั่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกฯ โดยมี 3 บุคคลข้างต้นดังกล่าว และ “หมอเลี้ยบ” ได้เซ็นคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกฯ ในวันเดียวกันกับที่ได้ร่างคำสั่งดังกล่าวทันที
ต่อมา กระทรวงการคลังได้ส่งรายชื่อบุคคลที่มีคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการในบอร์ด ธปท. ให้กับคณะกรรมการคัดเลือกฯ จำนวน 6 ราย โดยปรากฏชื่อของ นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส. ขณะนั้น) และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. (ขณะนั้น) รวมอยู่ด้วย ส่วน ธปท. ได้ส่งรายชื่อให้คณะกรรมการคัดเลือกฯ จำนวน 12 ราย โดยมีชื่ออย่าง ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นต้น
ทว่าคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้คัดเลือกบุคคลจากกระทรวงการคลังถึง5 ราย จาก 6 ราย โดยที่นายชัยเกษม และ พล.ต.อ.พัชรวาท ได้เป็นด้วย และเลือกบุคคลที่ ธปท. คัดเลือกมาเพียงแค่ 1 ราย จาก 12 ราย
ประเด็นนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายชัยเกษม และ พล.ต.อ.พัชรวาทไม่ได้มีคุณสมบัติเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องในเรื่องนโยบายทางการเงิน หรือการชำระเงินทางบัญชี แม้แต่น้อย ซึ่งอาจแสดงให้เห็นเจตนาว่า ในการแต่งตั้งนายสถิตย์นายวิจิตร และนายชัยวัฒน์ ซึ่งเป็นบุคคลต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ธนาคารฯ ฉบับที่ 4 ให้เป็นกรรมการคัดเลือกฯ เพื่อจงใจให้เข้ามาเลือกบุคคลที่ “หมอเลี้ยบ” ต้องการให้เข้ามาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ด ธปท. อยู่แล้ว
นอกจากนี้ นายสถิตย์ นอกเหนือจากเป็นกรรมการบริหารธนาคารทหารไทยแล้ว ยังมีตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง (ขณะนั้น) ด้วย จึงน่าเชื่อได้ว่าสาเหตุที่ให้นายสถิตย์เข้ามา เพื่อคัดเลือกบุคคลที่ “หมอเลี้ยบ” วางไว้อยู่แล้ว
4. นี่คือ “กรรมเก่า”
และยังน่าจะเป็นบทเรียนในอดีต เตือนสติมาปัจจุบัน ไม่ควรมีใครทำผิดซ้ำรอยเดิม
สารส้ม

‘กมธ.ต่างประเทศ’ยกคณะฯล่องใต้ หนุน‘ภูเก็ต’เมืองต้นแบบมรดกโลก
ผู้ปกครองต้องตั้งสติ! 'หมอเด็ก'แนะวิธีดูแลเบื้องต้นเมื่อ'ลูก'มีไข้สูง-ชัก
สวรรค์เปิดฟ้า ตื่นตา!เมฆสีรุ้งเหนือกว๊านพะเยา
‘ในหลวง-พระราชินี’ทอดพระเนตร การแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ รอบปฐมทัศน์ ตอน‘สัตยาพาลี’ สืบสานพระราชปณิธาน‘พระพันปีหลวง’
5 ทศวรรษ รอยพระบาทที่ยาตรา พระราชกรณียกิจใน 'สมเด็จพระพันปีหลวง' ณ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี