วันพุธ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ถึงแม้ว่าการเมืองแบบ “บ้านใหญ่” หรือ ที่เรียกว่า ราชวงศ์การเมือง การเมืองแบบในครอบครัว จะได้จืดจางหายไปที่สิงคโปร์ บังคลาเทศ หรือต้องถอยร่นไปเช่นที่ศรีลังกา แต่ก็ยังคงมีอิทธิพลอยู่ในประเทศไทย กัมพูชา และปากีสถาน โดยปากีสถานนั้น บ้านใหญ่ยังถูกค้ำบัลลังก์ด้วยฝ่ายกองทัพ ส่วนที่เกาหลีเหนือซึ่งมิได้อยู่ในกรอบสังคมประชาธิปไตยเหมือนประเทศอื่นๆดังกล่าว (อยู่ในกรอบของพรรคเดียวเป็นเผด็จการ) ซึ่งก็ปรากฏว่าผู้นำประเทศสืบทอดอำนาจกันมา 3 ชั่วคนแล้ว คือจากรุ่นปู่ สู่รุ่นพ่อ และสู่รุ่นหลานในปัจจุบันนี้ และกำลังมีการเตรียมการที่จะให้รุ่นเหลนขึ้นมาสืบทอดอำนาจต่อไปด้วย
ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นแม้มิได้มีระบบบ้านใหญ่ แต่กลับมีระบบบ้านกลางบ้านเล็ก มากมาย ดังจะเห็นว่า ประมาณร้อยละ 40 ของบรรดาสมาชิกรัฐสภา ทั้งสภาสูงและสภาล่าง รวมไปถึงคณะรัฐมนตรี ต่างก็มาจากครอบครัวการเมืองกันทั้งนั้น โดยในละแวกภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็คงจะมีไต้หวัน เกาหลีใต้ มองโกเลีย เนปาล และภูฏาน ที่เป็นสังคมประชาธิปไตยที่การเมืองแบบบ้านใหญ่ยังมิได้คืบเข้ามาสู่สนามการเมือง ขณะที่จีนคอมมิวนิสต์ซึ่งครองอำนาจมาร่วม 70 กว่าปีก็ไม่ปรากฏการเมืองแบบการสืบทอดอำนาจในครอบครัวแต่อย่างใด
ในการนี้ก็สามารถจะสรุปได้ว่า ไม่ว่ารูปแบบโครงสร้างการเมืองจะเป็นอย่างใดการแทรกซึมของการเมืองแบบบ้านใหญ่ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แล้วก็ไม่เป็นสิ่งที่ดีแต่อย่างใดต่อสังคมนั้นๆ เพราะการรวบอำนาจอยู่ในมือของกลุ่มคนน้อยนิด เป็นการปิดกั้นการร่วมคิดร่วมทำ และมีนัยของการใช้อำนาจแต่เพียงอย่างเดียว
ล่าสุดที่ประเทศอินโดนีเซียก็เริ่มเห็นการเข้ามาครอบงำของการเมืองแบบบ้านใหญ่ ซึ่งมีอยู่ 2 บ้านใหญ่ร่วมมือกัน คือของประธานาธิบดี ปราโบโว สุเบียนโต กับอดีตประธานาธิบดี โจโค วิโดโด โดยประธานาธิบดี ปราโบโว ได้แต่งตั้งหลานสาว 2 คนเข้าร่วมในคณะรัฐมนตรี ส่วนอดีตประธานาธิบดี โจโกวี นั้นก็ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนกฎเกณฑ์กติกาว่าด้วยอายุขั้นต่ำของผู้จะเข้าดำรงตำแหน่งในระดับสูงทางการเมือง และบัดนี้ก็ได้เห็นลูกชายของตนเองดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ทั้งนี้ แนวความคิดและพฤติกรรมทางการเมืองของอินโดนีเซีย เขาใช้หลักคอนเซนซี่ ซึ่งหมายถึงการตกลงออมชอมกัน หรือนัยหนึ่งไม่ยึดมั่นในเรื่องการเมืองแบบแบ่งแยกออกเป็นฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านซึ่งก็มีนัยในเชิงลบของการกระจายผลประโยชน์ให้ทั่วถึง และการที่ฝ่ายรัฐบาลมีอำนาจอย่างมากมาย และทั้งหมดนี้ประชาชนพลเมืองก็จะตกอยู่ในลักษณะของการต้องโอนอ่อนคล้อยตาม และไม่มีองค์กรการเมืองใดที่จะเป็นภูมิคุ้มกันให้ ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกและความซื่อสัตย์สุจริตของผู้ปกครองเท่านั้น
ในสังคมเผด็จการประชาชนพลเมืองก็ต้องรับสภาพไม่ว่าผู้นำจะมาจากบ้านใหญ่หรือไม่ แต่ในสังคมประชาธิปไตย หรือที่อ้างว่าเป็นสังคมประชาธิปไตยนั้น การมีอยู่ของบ้านใหญ่เป็นการจำกัดและบั่นทอนความเป็นสังคมประชาธิปไตย
ส่วนกรณีสังคมไทย เราได้มีการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบสังคมประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่ปวงชนชาวไทยเป็นใหญ่ แต่อำนาจอธิปไตยของประชาชนก็ถูกบิดเบือนไปเพราะการเข้ามากุมอำนาจการเมืองแบบบ้านใหญ่ หรือการกระจุกตัวของอำนาจ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขเพื่อให้สังคมประชาธิปไตยมีความแท้จริง และสมบูรณ์แบบ ที่จะเกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail

เปิดภาพรังสแกมเมอร์แห่งใหม่!! ย้ายฐานตั้งใหญ่โต กลางนครหลวงเวียงจันทร์ สปป.ลาว
ป.ป.ช.ชี้มูล‘อดีตรองเลขาฯ สกสค.’ร่ำรวยผิดปกติ 13.9 ล้าน หลังพบทุจริตเงินกู้ ช.พ.ค.
ราวกับเจ้าหญิง! 'ใหม่ ดาวิกา'สวมชุดเจ้าสาวลูกไม้ซีทรูสวยออร่ามาก
บุกจับ2วัยรุ่นสร้างตัว เปิดเหมืองบิทคอยน์ซุก'สวนมะพร้าวบ้านแพ้ว' โกงไฟหลวงมหาศาล
แฉเหลี่ยมเขมร! ลงนาม‘ปฏิญญาสันติภาพ’แค่ฉากบังหน้า จ้องแย่งดินแดนไทย

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี