หลังจากมีกรณีนักร้องโกหกและนอกใจเมีย คบชู้ นำไปสู่การแซะมาตรา 112
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาต่อ
เหมือนมีความพยายามบั่นเซาะบ่อนทำลาย มาตรา 112 ต่อเนื่อง
1. สำนักข่าวประชาไท รายงานว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เผยแพร่ข่าว (29 ม.ค.) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนจากสหประชาชาติ ประกอบด้วย ผู้รายงานพิเศษด้านต่างๆ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติตั้งขึ้น แสดงความกังวลอย่างมากต่อสถานการณ์ในประเทศไทย ที่ยังคงใช้กฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์อย่างต่อเนื่อง จนไปสู่การคุมขังนักกิจกรรม และผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน และเรียกร้องให้ทางการไทยยกเลิก หรือทบทวนประมวลกฎหมายอาญา ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชน
“ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ บุคคลต้องมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะ รวมถึงพระมหากษัตริย์ และเรียกร้องการปฏิรูปปฏิรูปสถาบันสาธารณะ รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์”-ผู้เชี่ยวชาญระบุ
“กฎหมายหมิ่นประมาทต้องไม่มีพื้นที่ในประเทศประชาธิปไตย”
“รัฐบาลไทยต้องทำให้ประมวลกฎหมายอาญาสอดคล้องกับกฎหมายนานาชาติ และเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน” - ผู้เชี่ยวชาญกล่าว และเรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีและการคุมขังภายใต้กฎหมาย 112 ทันที
2. น่าแปลกใจ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญกำมะลอเหล่านี้ ไม่เคยสนใจการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสหรัฐอเมริกาและโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่มีมากมายมหาศาลกว่าที่ไทยหลายร้อยหลายพันเท่า
และกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศ ในนานาประเทศก็มีบังคับใช้
ในสหรัฐเอง ก็มีการใช้กฎหมายคุ้มครองประธานาธิบดีหลายกรณี ติดคุกติดตะราง
โดยที่การใช้กฎหมาย 112 ในไทย ล้วนแต่ผ่านกระบวนการศาลยุติธรรม ที่รัฐบาลไปแทรกแซงมิได้
แต่ละกรณีที่ศาลมีคำพิพากษา ล้วนมีเหตุผล หลักฐาน ข้อเท็จจริงรองรับ
บางกรณีลงโทษจำคุก รอลงอาญา ก็ขึ้นกับพฤติการณ์แห่งคดี (หลานธนาธร ทำผิด 112 รอลงอาญา)
บางกรณีลงโทษจำคุก ไม่รอลงอาญา เพราะพฤติการณ์ร้ายแรง ข่มขู่อาฆาตมาดร้ายรุนแรง อย่างกรณี สส.ไอซ์ เป็นต้น
น่าสงสัยว่า คนพวกที่อ้างความเป็นผู้เชี่ยวชาญองค์หน่วยงานระหว่างประเทศนี้ ความจริงมันกำลังรับใช้ใครกันแน่?
3. ขอบคุณ “เอ็ดดี้ อัษฎางค์” ล่าสุด โพสต์เฟซบุ๊ก ประกาศสาธารณะ “เรียกร้องให้รัฐบาลขับไล่เจ้าหน้าที่สหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนออกจากประเทศ เพื่อปกป้องเอกราชของชาติและความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย“
โดยเขียนทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
ระบุว่า
“เชิญชวนคนไทยร่วมปกป้องอธิปไตยของไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์จากการแทรกแซงของ UN
จากกรณี ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UN) ออกมาเรียกร้องให้ประเทศไทยยกเลิกกฎหมายมาตรา 112
……….
สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นรากฐานสำคัญของอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของชาติไทยมาอย่างยาวนาน มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาไทย หรือที่เรียกว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีไว้เพื่อปกป้องและรักษาเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกับที่ประเทศอื่นๆ มีกฎหมายคุ้มครองประมุขของตน ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ ราชินี หรือประธานาธิบดี
อย่างไรก็ตาม การที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UN) ออกมาเรียกร้องให้ประเทศไทยยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับอธิปไตย ความยุติธรรม และการเลือกปฏิบัติต่อประเทศไทยโดยเฉพาะ
จำเป็นต้องตระหนักว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในลักษณะนี้มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก หลายประเทศมีกฎหมายที่ปกป้องประมุขและสถาบันของตนจากการหมิ่นประมาทและการโจมตีที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หากมีบุคคลในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร หรือประเทศในสหภาพยุโรปกระทำการที่บ่อนทำลายหรือเป็นภัยต่อประมุขของตนเอง UN จะเรียกร้องให้ประเทศเหล่านั้นยกเลิกกฎหมายที่คุ้มครองประมุขของตนหรือไม่? หรือประเทศไทยกำลังถูกเลือกปฏิบัติเนื่องจากการขาดความเข้าใจหรือการละเลยบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเรา?
ในประเทศไทย ผู้ที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 ไม่ใช่เพียงนักวิจารณ์ธรรมดา แต่หลายครั้งเป็นกลุ่มบุคคลที่มีจุดยืนชัดเจนในการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และโดยนัยแล้วก็คือการต่อต้านระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของไทย การกระทำของพวกเขามิใช่เพียงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่เป็นการพยายามทำลายรากฐานที่สำคัญของสังคมไทย
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญของไทยได้มีคำวินิจฉัยชัดเจนแล้วว่า การยกเลิกมาตรา 112 ถือเป็นการดำเนินการไปสู่การล้มล้างการปกครอง ดังนั้น ผู้ที่รณรงค์ให้มีการยกเลิกกฎหมายดังกล่าวย่อมถูกพิจารณาว่าเป็นการดำเนินการไปสู่การล้มล้างการปกครองโดยปริยาย นี่คือข้อเท็จจริงทางกฎหมายที่ไม่อาจละเลยหรือเพิกเฉยได้
การที่สหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงกฎหมายของประเทศไทยเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลและไม่อาจยอมรับได้ ประเทศไทยมิได้อยู่ใต้การครอบงำของอำนาจต่างชาติ และมิใช่อาณานิคมหรือเมืองขึ้นของใครประเทศไทยมีอำนาจอธิปไตยในการกำหนดกฎหมายและโครงสร้างการปกครองของตนเองตามประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม และกรอบประชาธิปไตยของประเทศ องค์กรต่างชาติ รวมถึง UN ไม่มีสิทธิ์ชอบธรรมใดๆ ที่จะมากำหนดว่าประเทศไทยควรปกครองตนเองอย่างไรหรือควรปกป้องสถาบันของตนอย่างไร
ในฐานะประชาชนไทย ข้าพเจ้าขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินมาตรการอย่างเด็ดขาดในการปกป้องศักดิ์ศรีของชาติ การคงอยู่ของเจ้าหน้าที่สหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนที่พยายามกำหนดค่านิยมจากภายนอกให้กับประเทศไทยควรได้รับการพิจารณาใหม่ การกระทำของพวกเขาเป็นการแทรกแซงอธิปไตยของชาติและไม่เคารพต่อบริบททางวัฒนธรรมและการเมืองของไทย หากพวกเขายังคงเข้าแทรกแซงในเรื่องที่เป็นกิจการภายในของประเทศไทยโดยตรง รัฐบาลควรพิจารณาขับไล่บุคคลเหล่านี้ออกจากประเทศ เพื่อปกป้องเอกราชของชาติและความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอธิปไตย และประชาชนไทยจะไม่ยอมรับแรงกดดันจากภายนอกที่พยายามบ่อนทำลายสถาบันหลักที่เป็นแก่นแท้ของอัตลักษณ์แห่งชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นและจะยังคงเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองของไทย และความพยายามใดๆ ที่มุ่งลดทอนอำนาจของสถาบันจะต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักจากประชาชนที่มีความภาคภูมิใจในชาติและศักดิ์ศรีของตน
……………………….
Defending Thailand’s Sovereignty and Monarchy Against UN Interference
The Thai monarchy has been a cornerstone of the nation’s identity, culture, and governance for centuries. Section 112 of the Thai Criminal Code, commonly referred to as the lèse-majesté law, serves to protect and uphold the dignity of the monarchy, much like similar laws in other nations that safeguard their heads of state, whether they be kings, queens, or presidents. The recent call by UN human rights experts for Thailand to repeal this law raises critical questions regarding sovereignty, fairness, and the selective scrutiny placed upon Thailand.
It is imperative to recognize that lèse-majesté laws exist in various forms across the world. Many countries have laws that protect their heads of state and institutions from defamation and attacks that threaten national stability. If individuals in the United States, the United Kingdom, or European Union member states were to engage in activities that undermine or threaten their respective heads of state, would the United Nations similarly demand the abolition of laws protecting those institutions? Or is Thailand being singled out due to a lack of understanding or a disregard for the country’s unique historical and cultural context?
In Thailand, those prosecuted under Section 112 are not merely critics; they areoften individuals or groups with a clear intent to undermine the monarchy and, by extension, the constitutional monarchy system that has long governed the nation. Their actions go beyond free speech—they aim to dismantle a fundamental pillar of Thai society.
Furthermore, the Constitutional Court of Thailand has ruled that repealing Section 112 constitutes an act leading towards the overthrow of the government. Therefore, those who campaign for its abolition could be considered as actively working toward the subversion of Thailand’s governance. This legal reality cannot beignored or dismissed as a simple political debate.
The United Nations’ interference in Thailand’s internal legal affairs is both unjustified and unacceptable. Thailand is not under the dominion of any foreign power, nor is it a colony subjected to external mandates. The country has the sovereign right to determine its legal and governance structures in accordance with its own history, traditions, and democratic framework. Foreign entities, including the UN, have no legitimate authority to dictate how Thailand should govern itself or protect its institutions.
As a Thai citizen, I urge the Thai government to take decisive action in defending the dignity of our nation. The presence of UN Human Rights officials who seek to impose external values upon Thailand should be reconsidered. Their actions undermine national sovereignty and disrespect the cultural and political context in which Thailand operates. If they continue to interfere in matters that are strictly within Thailand’s jurisdiction, the government should consider expelling them to safeguard the nation’s independence and the sanctity of its constitutional monarchy.
Thailand is a sovereign nation, and its people will not accept external pressures that seek to erode the fundamental institutions that define their identity. The monarchy has been, and will continue to be, a vital part of Thailand’s governance, and any attempts to weaken it will be met with firm resistance from those who hold national pride and dignity above all else.”
4. ล่าสุด เห็นข่าวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศจาก USAID และสถานทูตสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน
ได้แต่ลุ้นว่า พวกเครือข่ายสามนิ้ว บ่อนทำลายโจมตี 112 จะถูกตัดท่อน้ำเลี้ยงบ้างไหม?
เพราะที่ผ่านมา เงินทุนจากสหรัฐไหลเข้ากลุ่ม NGO สามนิ้ว และเครือข่ายนักเคลื่อนไหวในบ้านเราจำนวนไม่น้อย
อีลอน มัสก์ เผยผ่านบัญชี X ระบุว่า “พวกคุณรู้ไหมว่า #USAID ได้ใช้เงินภาษีของคุณเพื่อสนับสนุนการวิจัยอาวุธชีวภาพ รวมถึง COVID-19 ที่สังหารผู้คนไปหลายล้านคน”
“Did you know that USAID, using YOUR tax dollars, funded bioweapon research, including COVID-19, that killed millions of people?”
มีการวิเคราะห์ว่า USAID ทำหน้าที่เป็นองค์กรหน้าฉากของ CIA
งบกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
กิจกรรมในกว่า 100 ประเทศ USAID มักเชื่อมโยงกับกิจกรรมด้านข่าวกรองอยู่เสมอ
อดีตผู้อำนวยการ USAID จอห์น กิลลิแกน เคยยอมรับว่า หน่วยงานนี้ “แทรกซึมจากบนลงล่างด้วยเจ้าหน้าที่ CIA” โดยอธิบายว่า “แนวคิดคือส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินการในทุกกิจกรรมที่เรามีในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาล อาสาสมัคร ศาสนา และอื่นๆ”
ในปี 2013 มีข่าวหลุดที่เผยแพร่โดย WikiLeaks ได้สรุปกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ที่จะบ่อนทำลายรัฐบาลเวเนซุเอลาผ่านทาง USAID โดย “เจาะฐานเสียงทางการเมืองของชาเวซ” “แบ่งแยกชาเวซ” และ“แยกชาเวซออกจากนานาชาติ”
ในปี 2014 สำนักข่าว Associated Press เปิดเผยว่า USAID ให้ทุนสนับสนุนการสร้างแพลตฟอร์มคล้ายกับ Twitter เพื่อปลุกระดมให้เกิดการกบฏในคิวบา
เงินทุนของ USAID เชื่อมโยงกับการรัฐประหารในเฮติ ยูเครน อียิปต์ และประเทศอื่นๆ
อันที่จริง ในไทย มีท่อน้ำเลี้ยงจากองค์กร 3 แห่งที่ควรจะต้องจัดการ ได้แก่
องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID
กองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (America’s National Endowment for Democracy : NED)
และมูลนิธิโอเพน โซไซตี้ (Open Society Foundation : OSF) ของโซรอจ
กิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุน ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม มักมีเครือข่ายพวกสามนิ้วล้มล้างสถาบันเข้าไปเอี่ยวเสมอ
กองทุนเหล่านี้ต่างหากที่ควรเร่งเข้าไปจัดการ สะสาง เช็คบิล หรือจะเรียกว่า “ปฏิรูป” ก็แล้วแต่ (จำเป็นเร่งด่วนกว่ามาตรา 112)
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี