ทักษิณและเพื่อไทยกำลังดิ้นแรง

พยายามต่อสู้ให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐมากกว่านี้

เพราะจนถึงปัจจุบัน นอกจากลูกสาวได้เป็นนายกฯแล้ว ยังไม่สามารถบรรลุตามความต้องการของทักษิณในเรื่องใหญ่ๆ

1. ตัวทักษิณ ยังมีประเด็นเปราะบางอยู่ เรื่องที่ถูกตรวจสอบยังน่าวิตก

ประเด็นชั้น 14 ทั้งส่วนที่ ป.ป.ช.ไต่สวน – แพทยสภาตรวจสอบแพทย์ที่เกี่ยวข้อง - เรื่องที่คุณชาญชัยยื่นต่อศาลฎีกา รอฟังคำสั่งศาล

ประเด็นคดี ม.112 ที่อยู่ในการพิจารณาชั้นศาลอาญา

ประเด็นที่ดินธรณีสงฆ์อัลไพน์ สนามกอล์ฟกลับไปเป็นธรณีสงฆ์แล้ว

นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ก็จะถูกตรวจสอบฝ่าฝืนจริยธรรมเรื่องครอบครองธรณีสงฆ์อยู่ก่อนหน้านี้ด้วย

แต่เรื่องใหญ่ๆ ที่ทักษิณต้องการยังเดินสะดุด เช่น อยากยึดวุฒิสภา, ยึดแบงก์ชาติ,ล้วงทุนสำรองฯ, แบ่งผลประโยชน์พลังงานอ่าวไทย, แจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต, ยึดการบินไทย, เปิดกาสิโน, ยึดกองทัพ, ยิ่งลักษณ์กลับไทย, ยกเลิกรัฐธรรมนูญ’60, แตะมาตรา 112 (จำต้องเปลี่ยนท่าทีตัวเอง) ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ ทักษิณอยากทำ แต่ทำไม่ได้ ยังทำไม่สำเร็จ บางเรื่องต้องยกเลิกความตั้งใจ

2. ลูกสาวเป็นนายกฯ รัฐมนตรีเป็นลูกน้องอยู่ค่อนรัฐบาล แต่ทักษิณยังสะดุด ไม่สามารถทำตามความต้องการและผลประโยชน์ของตัวเองเพราะอะไร?

ส่วนใหญ่ เพราะเสียงทักท้วงจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา

และ สว. โดยเฉพาะ สว.สีน้ำเงิน

ล่าสุด ก็คือการแก้รัฐธรรมนูญ แบบแก้เพื่อฉีกทั้งฉบับ เขียนใหม่

ไม่สามารถทำได้ทันสมัยสภาชุดนี้แน่นอน

พรรคภูมิใจไทยประกาศก่อนใครเพื่อน ไม่ร่วมพิจารณาแก้ไข รธน.เกรงจะขัดคำวินิจฉัยศาล รธน.ปี 2564 และวอล์กเอาท์จากห้องประชุม เช่นเดียวสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลุ่มสีน้ำเงิน จนในที่สุด ก็ล่มปากอ่าวไป

เพราะฉะนั้น การเลือกตั้งครั้งหน้า ยังต้องใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแน่นอน

3. ทักษิณยอมรับด้วยตนเองเป็นครั้งแรกว่า เลือกตั้งสมัยหน้าก็จะยังต้องเป็นรัฐบาลผสม

และยังปฏิเสธข่าวการปรับ ครม. ที่ปั่นกันว่าจะดึงกระทรวงพลังงานมาจากพรรครวมไทยสร้างชาติ

4. ทักษิณและเพื่อไทยพยายามเพิ่มอำนาจต่อรองของตนเอง และพยายามตัดกำลังของคู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างพรรคภูมิใจไทย

กรณี สว.ที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถควบคุมได้เหมือนสมัยระบอบทักษิณ

ปรากฏข่าวคราวว่าดีเอสไอจะดำเนินคดีฮั้ว โกง และบล็อกโหวต สว. โดยดำเนินการเป็นคดีพิเศษ 

แน่นอนว่า ฝ่ายการเมืองมีธงมุ่งกำจัด สว.สีน้ำเงิน เหมือนกำจัดเสี้ยนหนาม ก้างขวางคอทักษิณและเพื่อไทย

ทั้งๆ ที่ การตรวจสอบการได้มาซึ่ง สว. เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของ กกต. ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้เป็นการเฉพาะ

5. อย่างไรก็ตาม การทำหน้าที่ของดีเอสไอต้องระมัดระวังให้เป็นไปตามกฎหมาย

จำได้ไหม.. เคยมีกรณีศาลฎีกาพิพากษาจำคุกนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา

คดีดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200 วรรคสอง

คดีดังกล่าว ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐาน เห็นว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยจำเลยที่ 1 (นายธาริต) ทราบอยู่แล้วว่า ตนเองและหน่วยงานไม่มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนบุคคลทั้งสองที่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีอำนาจหน้าที่สรุปสำนวนเรื่องให้อัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นข้อพิรุธ

คดีนั้น จำเลยที่ 1 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา

จำเลยที่ 2 พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ พนักงานสอบสวน ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 4 ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล พนักงานสอบสวน ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้อง

ภายหลังศาลอ่านพิพากษาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนายธาริต เพื่อนำส่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตามคำพิพากษาศาลฎีกาทันที

6. ขณะเดียวกัน พรรคส้ม พรรคแนวร่วมในโลกคู่ขนานของพรรคเพื่อไทยก็กำลังถูกกรรมไล่ทัน

ล่าสุด กรณี 44 อดีต สส.พรรคก้าวไกล ถ้าโดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดจริยธรรมร้ายแรง ก็จะเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาลฎีกาต่อไป

โดย สส.พรรคส้มที่อยู่ในสำนวนคดีนี้ พบว่า 17 คน เป็นสส.บัญชีรายชื่อ

8 คน เป็น สส.เขต

เป็นประเภทตัวตึงพรรคส้ม เช่น ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค, ศิริกัญญา ตันสกุล, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, รังสิมันต์ โรม, เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร, ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์, วรรณวิภา ไม้สน, ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล, สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ, ณัฐวุฒิ บัวประทุม, วาโย อัศวรุ่งเรือง, ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์, ธีรัจชัย พันธุมาศ, จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์, ญาณธิชา บัวเผื่อน ฯลฯ

ด้วยเหตุนี้ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคส้ม ไม่ทราบว่าโง่จริง หรือพยายามหลอกคนโง่ จึงออกมาพูดว่า เป็นคดีทางการเมือง “ยืนยันว่าเราดำเนินการโดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติ ที่ฟ้องร้องว่าเราผิดจริยธรรมร้ายแรงนั้นไม่ควรเกิดขึ้น และมองว่าตัวปัญหาคือรัฐธรรมนูญ จึงให้ความสำคัญกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”

ทั้งๆ ที่ ความผิดไม่ใช่เพราะเข้าชื่อเสนอแก้กฎหมายปกติ แต่เพราะพฤติกรรม “เซาะกร่อน-บ่อนทำลาย” ตามแนวทางในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีล้มล้างการปกครอง

ศาลรัฐธรรมนูญชี้ถึงพฤติกรรมว่า การกระทำที่นำเรื่องสถาบันไปเคลื่อนไหวเป็นฝักฝ่าย ทำให้ประชาชนเป็นคู่ขัดแย้งกับสถาบันนั้นต่างหาก ที่เป็นการกระทำการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม เข้าลักษณะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มุ่งหมายให้การกระทำผิดตามมาตรา 112 กลายเป็นความผิดในเรื่องส่วนพระองค์ของสถาบันฯ เป็นการลดสถานะความคุ้มครองของสถาบันฯ ให้รัฐไม่ต้องเป็นผู้เสียหายในเรื่องดังกล่าวโดยตรง และให้สถาบันฯ เป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน และจะเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ส่งผลให้การกระทำผิด มาตรา 112 ไม่ใช่การกระทำผิดที่กระทบต่อชาติ และประชาชน ทั้งที่การกระทำผิดดังกล่าว ย่อมเป็นการทำร้ายจิตใจของชนชาวไทย ที่มีความเคารพสถาบันฯ เพราะทรงเป็นประมุข และศูนย์รวมความเป็นชาติ ที่รัฐต้องคุ้มครอง และรัฐต้องเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา

..การที่ผู้ถูกร้องที่ 2 เสนอแก้ไขมาตรา 112 เพื่อลดสถานะของสถาบันฯ เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้ง และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้นโยบายพรรคโดยนำสถาบันฯ หวังผลคะแนนเสียง และประโยชน์ในการชนะเลือกตั้ง มุ่งหมายให้สถาบันฯ อยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับประชาชน ทำให้สถาบันฯ เป็นฝักใฝ่ ต่อสู้ แข่งขัน หรือรณรงค์ทางการเมือง อันอาจนำมาซึ่งการโจมตี ติเตือน ไม่คำนึงหลักการพื้นฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีหลักสำคัญว่า พระมหากษัตริย์ต้องดำรงฐานะอยู่เหนือการเมือง และความเป็นกลางทางการเมือง

การที่ผู้ถูกร้องที่ 2 เสนอแก้ไข มาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรคหาเสียงเลือกตั้งดังกล่าว มีเจตนา เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ เป็นเหตุให้สถาบันฯ ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง เป็นเหตุให้นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด ข้อโต้แย้งของผู้ถูกร้องทั้ง 2 ฟังไม่ขึ้น”

คำวินิจฉัยของศาลยังได้ระบุอีกว่า ...พฤติการณ์หรือเข้าร่วมการชุมนุมที่รณรงค์ยกเลิกมาตรา 112 หรือเป็นหลักประกันให้ผู้ต้องหา หรือจำเลยในข้อหาตาม มาตรา 112 หรือเป็นผู้กระทำผิดในข้อหาดังกล่าวเสียเอง แสดงให้เห็นว่า พรรคก้าวไกล เป็นกลุ่มการเมืองมีอุดมการณ์เปลี่ยนแปลงแก้ไข ยกเลิกบทบัญญัติกฎหมายที่คุ้มครองสถาบันฯ

โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2666 พรรคก้าวไกล จัดกิจกรรมปราศรัยใหญ่ ณ สวนสาธารณะ เทศบาลนครแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดย น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ ขึ้นเวทีปราศรัย เชิญชวนผู้ถูกร้องที่ 1และว่าที่ผู้สมัคร สส.พรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรม “คุณคิดว่า มาตรา 112 ควรยกเลิกหรือแก้ไข” โดยผู้ถูกร้องที่ 1 นำสติ๊กเกอร์สีแดงปิดลงในช่องยกเลิกมาตรา 112 ...”

เพราะฉะนั้น สส.พรรคส้มคนไหน หากมีพฤติการณ์ในลักษณะดังกล่าวข้างต้นก็ต้องรับกรรมไป

หาใช่ว่าเพราะทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติตามปกติ

ถ้าเสนอแก้มาตรา 112 โดยไม่มีเนื้อหาและการเคลื่อนไหวในลักษณะดังที่ศาลรัฐธรรมนูญกล่าว ก็ย่อมสามารถกระทำได้

แต่เพราะเคลื่อนไหวมุ่งหมายให้สถาบันเป็นฝักฝ่ายการเมือง อยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับประชาชน ฯลฯ

นายพิธาถึงขนาดประกาศกลางสภา จะจัดวางพระราชสถานะ พระราชอำนาจ

แบบนี้ มันยิ่งตอกย้ำเจตนาพุ่งเป้าสถาบันอย่างไร

เพราะฉะนั้น สส.คนไหน ลงชื่อแก้กฎหมายแล้ว ยังมีการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวด้วย น่าจะรอดยาก

7. เมื่อจำนวน สส.พรรคส้ม กำลังจะลดน้อยลงไปอีก

แถมการเลือกตั้ง อบจ.ที่ผ่านมา ก็ตอกย้ำชัดเจนว่า กระแสพรรคส้มพ่ายแพ้แก่ฐานเสียงพรรคเพื่อไทยในเกือบทุกพื้นที่

โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะย้ายขั้วไปจับมือกับพรรคส้ม ในสถานการณ์เช่นนี้จึงมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก

การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจมีการปรับ ครม. เป็นไปได้

แต่โอกาสที่จะเปลี่ยนขั้วรัฐบาล เขี่ยพรรคร่วมฯออกจากรัฐบาล มีโอกาสน้อยมาก

การเมืองไทย น่าจะยังไม่มีอะไรพลิกขั้ว

สารส้ม