หลักนิติธรรมแสดงความศักดิ์สิทธิ์ลูกไม้พิษโวยว่าถูกปล้นความยุติธรรม
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่สังคมไทยสงสัยว่า เดินทางไปอังกฤษเพื่อทำภารกิจส่วนตัวโดยผลาญงบประมาณ 200 ล้านบาท ไปเตรียมการรับมือกับผลศาลปกครองสูงสุดตัดสินคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางไปอังกฤษทำภารกิจสำคัญเพื่อการอยู่ดีกินดีของคนไทย ที่กำลังประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่
ภารกิจข้อหลังนี้ ยังไม่มีอะไรชัดเจนว่า ที่ น.ส.แพทองธารนำคณะพร้อมสามีไปอังกฤษเที่ยวนี้ได้มีข้อตกลงอะไรกับกระทรวงใดหรือบริษัทไหน ทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นอย่างไร เนื่องจากไม่มีข้อมูลว่า น.ส.แพทองธารได้เป็นสักขีพยานลงนามข้อตกลงอะไรกับกระทรวงไหน หรือบริษัทเอกชนรายใด
ส่วนข้อครหาว่าเธออาจไปทำธุระส่วนตัวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หนีคุกจากศาลตัดสินจำคุก 5 ปี ในคดีรับจำนำข้าวหรือไม่? ประเด็นนี้ น.ส.แพทองธารได้เผยตัวออกมาในไอจีให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลังจากศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหาย ในการระบายข้าว จากสัญญาซื้อขาย จีทูจี (รัฐบาลต่อรัฐบาล) 4 ฉบับ เป็นเงิน 10,028 ล้านบาท
โดย น.ส.แพทองธารโพสต์ภาพเซลฟี่คู่ระหว่างอาหลาน พร้อมใส่เพลงประกอบ “ฤดูที่แตกต่าง” และได้แชร์โพสต์ภาพและข้อความเป็นคำพูดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยว่า “จากคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดในวันนี้ ทำให้ดิฉันต้องชดใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ความเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารที่ต้องมารับภาระหนี้ที่เกิดจากการระบายข้าวของฝ่ายปฏิบัติ โดยที่ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเหล่านั้นแต่อย่างใด”
นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่องดังกล่าวว่า..
หาเรื่องเดือดร้อน รูปถ่ายเซลฟี่อาหลานรูปนี้ใหม่ หรือเก่า ใครพิสูจน์ได้ไหม เป็นนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานไหม เดินทางไปต่างประเทศ ด้วยงบประมาณแผ่นดินแต่ไปพบเจอนักโทษหนีคุก ต้องนำตัวส่งศาล มันถึงจะถูกนะท่านนายกฯ
ในไอจี ส่วนตัว น.ส.แพทองธารยังแชร์แบนเนอร์ของพรรคเพื่อไทย ที่มีข้อความว่า“22 พฤษภา ถูกปล้นความยุติธรรม ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า”
การโพสต์และแชร์ข้อความดังกล่าว ถูกผู้ใช้เฟซบุ๊กนาม Puangthip Boonsanong ตอบโต้ว่า “คนที่ปล้นความยุติธรรมของคนไทยทั้งประเทศคือพ่อมึง” ผู้ใช้นาม Puangthip คงหมายถึงจำเลย ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดไต่สวนว่า นักโทษชายถูกย้ายจากเรือนจำไปพักอยู่ในห้อง VVIP โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบหรือไม่
ในกรณีนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ กล่าวหนึ่งวันก่อน น.ส.แพทองธาร โพสต์ข้อความให้กำลังใจอาหญิงว่า “หลักนิติธรรม เริ่มสำแดงความศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมือง”
21 พฤษภาคม 2568 ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ อดีตองค์คณะในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และอดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กล่าวกับไทยโพสต์ถึงกรณี #ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนกรณี #ชั้น14 โรงพยาบาลตำรวจของ #นายทักษิณ ชินวัตร วันที่ 13 มิถุนายน 2568 ว่า การนัดไต่สวนครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า #หลักนิติธรรม หรือ The Rule of Law กำลังสำแดงความศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมือง
โดยอธิบายว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็น “ศาลพิเศษที่มีอำนาจสูงสุดและแตกต่างจากศาลทั่วไป” โดยตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญปี 2540 และได้รับการยืนยันใน #รัฐธรรมนูญ ปี 2560 มีกฎหมายประกอบเพื่อกำหนดวิธีพิจารณาคดีอย่างชัดเจน เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายกับผู้มีอำนาจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส
“ศาลพิเศษนี้ไม่ได้เป็นศาลกิ๊กก๊อกหรือศาลข้างถนนที่จะทำอะไรก็ได้ แต่ต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด”
ศ.(พิเศษ)วิชากล่าว พร้อมย้ำว่า การบังคับโทษหรือการบริหารโทษต้องอยู่ในอำนาจของศาล และหากมีการนำตัวออกจากเรือนจำไปยังสถานที่อื่น เช่น โรงพยาบาลต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนตามขั้นตอนกฎหมาย
ศ.(พิเศษ)วิชา เตือนว่า อย่าหลงทาง หรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของศาลนี้ เพราะเป็นศาลที่มีความสำคัญในการ #ปราบปรามการทุจริต และ #รักษาหลักนิติธรรม หากขาดศาลนี้ ประเทศจะเสียประโยชน์อย่างมาก
ประเด็นคดีของนายทักษิณ ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา ระบุว่า ศาลจะพิจารณาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างรอบคอบ โดยต้องอาศัยหลักวิชาการด้านกฎหมายและเปิดเผยต่อประชาชน เพื่อยืนยันว่าหลักนิติธรรมยังคงมีอยู่จริง และกระบวนการยุติธรรมถูกต้องครบถ้วน
ศ.(พิเศษ)วิชา ยังเล่าถึงประสบการณ์ในฐานะองค์คณะศาลฎีกาฯ แผนกคดีอาญาฯ ว่า การตั้งศาลนี้เริ่มต้นด้วยการคัดเลือกผู้พิพากษาที่มีความน่าเชื่อถือและมีความชำนาญ เพื่อให้ศาลสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้รับความไว้วางใจจากสังคม
สุดท้ายย้ำว่า #การบังคับใช้กฎหมาย ต้องอาศัยทุกฝ่าย ทั้งศาล ตำรวจ อัยการ และกรมราชทัณฑ์อย่างสมบูรณ์แบบ และการนำตัวผู้ต้องขังออกนอกเรือนจำต้องเป็นข้อยกเว้นที่ศาลรับรู้และอนุญาตเท่านั้น เพื่อรักษาความยุติธรรมอย่างแท้จริง
ดังนั้น การโอดครวญของ น.ส.แพทองธาร ที่ว่า “ถูกปล้นความยุติธรรม ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า” และคำโอดครวญของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า “ต้องชดใช้ในสิ่งที่ไม่ได้ทำ” แสดงถึงการไม่สำนึก และ ท้าทายสังคมไทยโดย ท้าทายกฎหมายโดยไม่ใส่ใจต่อคำพิพากษาที่ว่า..
“พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ทราบปัญหาการทุจริตแล้ว แต่ไม่ได้ติดตามกำกับดูแล เห็นได้จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) พิจารณาอนุมัติ ระบายข้าวต่างประเทศ เข้าร่วมประชุม กขช. เพียงครั้งเดียว จนเกิดการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีการขายแบบรัฐต่อรัฐ ในสัญญาซื้อขายข้าว 4 ฉบับ ส่งผลให้มีปัญหาการระบายข้าวไม่ทัน ต้องเก็บรักษาข้าวในคลังเป็นเวลานาน จนข้าวเสื่อมคุณภาพ และสูญเสีย..
พฤติการณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ต้องรับผิดที่ละเมิดต่อกระทรวงการคลัง และต้องกำหนดสัดส่วนรับผิดในอัตราร้อยละ 50 ของความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นเงิน 10,028,861,880.83 บาท”
นอกจากท้าทายกฎหมายและสังคมไทย น.ส.แพทองธาร ยังไม่ใส่ใจรัฐธรรมนูญ ในหมวด อำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี ในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 164 ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญกฎหมายและนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ด้วย
(1) ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ เปิดเผย และมีความรอบคอบและระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม
(2) รักษาวินัยในกิจการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด
(3) ยึดถือและปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
(4) สร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ผาสุก และสามัคคีปรองดองกัน
นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของตนรวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในการกำหนดนโยบายและการดำเนินการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี
ในวงเล็บ 2 ของมาตรานี้ น.ส.แพทองธาร ถูกอดีต สว.สมชาย แสวงการ และคณะฟ้องศาลรัฐธรรมนูญในข้อหา มีการกระทำความผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144ซึ่งต้องห้ามไม่ให้ไปตัดงบประมาณเกี่ยวกับเรื่องของการให้เงินกู้ที่กฎหมายมีการบังคับเอาไว้ ซึ่งได้ผ่านวาระ 1 ไปแล้ว แต่ครม.ได้มีมติตัดงบประมาณ 35,000 ล้านบาท ที่มีการให้ไปกู้ตามมาตรา 28 ซึ่งเอามาใช้ในกิจกรรมและต้องชดใช้ดอกเบี้ยพร้อมเงินกู้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่าห้ามมิให้แตะต้องเงินงบประมาณดังกล่าว
นอกจากมีคดีในศาลรัฐธรรมนูญแล้ว น.ส.แพทองธาร อาจถูกร้องมาตรา 157 ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อพบเห็นนักโทษหนีคดี มิได้แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวหรือดำเนินการตามกฎหมาย
จึงกล่าวได้ว่าน.ส.แพทองธาร ท้าทายกฎหมาย ในขณะที่ความศักดิ์สิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรมกำลังทำงาน จึงคาดการณ์ได้ว่าเธอจะพบกับชะตากรรมเดียว กับอาหญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี