งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ผ่านวาระแรกไปแล้วแบบฉลุย ด้วยคะแนน 322 : 158 เสียง จากจำนวนผู้ลงมติทั้งหมด 482 เสียง โดยไม่มีผู้งดออกเสียง มีแต่ไม่ลงคะแนนเสียง 2 เสียง คือประธานและรองประธานในที่ประชุม ถือว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ แปรญัตติในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญเสร็จ ก็นำเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2 และ 3 ต่อไป ซึ่งไม่น่าจะนาน เพราะต้องเริ่มประกาศใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
สูตรสำเร็จที่บรรดานักวิเคราะห์มองกัน ก็คือ เมื่อกฎหมายงบประมาณฯผ่านวาระแรกแล้ว จากนี้ไปฝ่ายรัฐบาลอาจจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี โดยจับสัญญาณของ“ทักษิณ ชินวัตร” ที่ไปพูดในงานครบรอบ 25 ปีเนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่ง“ทักษิณ”แสดงท่าทีว่าจะยึดกระทรวงมหาดไทยกลับมาไว้ในมือพรรคไทยรักไทย โดยพูดทำนองว่า กระทรวงมหาดไทยที่พรรคภูมิใจไทยกำกับดูแลอยู่ในเวลานี้ ยังทำงานไม่เต็มที่
แต่อันที่จริงถ้าจะว่าไปแล้ว ในบรรดากระทรวงต่างๆ ที่เป็นโควตาของแต่ละพรรคการเมืองของรัฐบาลผสมชุดนี้ ที่มี“แพทองโพย”เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น พรรคภูมิใจไทย ที่“อนุทิน ชาญวีรกูร”นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีความโดดเด่นไม่น้อยทีเดียว หากเทียบกับกระทรวงที่พรรคเพื่อไทยกำกับดูแลอยู่ และมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่าพรรคเพื่อไทยเสียด้วยซ้ำไป คือ“อนุทิน”นั้นเอาอยู่ จะเห็นได้จากเวลาเกิดภัยพิบัติต่างๆ กระทรวงมหาดไทยสามารถเข้าไปดำเนินการตั้งรับได้อย่างรวดเร็วทันการณ์
ในขณะเดียวกัน หากไปดูกระทรวงการคลัง, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงคมนาคม, กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงกลาโหม เป็นต้น ที่พรรคเพื่อไทยนั่งเก้าอี้เป็นเจ้ากระทรวง ถามว่ามีผลงานอะไรที่จะทำให้ประชาชน“มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”ตามนโยบายที่“แพทองโพย”ป่าวประกาศไว้บ้าง นอกจากถลุงงบประมาณแผ่นดินเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้แก่พรรคตนเอง สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น หากต้องมีการประกาศยุบสภาไม่วันใดก็วันหนึ่งหลังจากนี้
และที่เป็นผลงานชิ้นโบดำอีกอย่าง ก็คือ การทำงานเพื่อสนองประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาส่วนตัวให้แก่ “ทักษิณ ชินวัตร” นายทุนเจ้าของคอกที่เป็น“นายใหญ่”เท่านั้น คือกรณี“ป่วยทิพย์-ชั้น 14”ที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล“เศรษฐา ทวีสิน” ซึ่งทำอย่างไรไม่ให้“ทักษิณ”ต้องติดคุก และเวลานี้ก็กำลังจะจบแบบ“ศพไม่สวย”ในยุครัฐบาล“แพทองโพย” โดยทุกสายตาจับจ้องไปที่การไต่สวนนัดแรกของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้
และนอกจากในแต่ละกระทรวงที่พรรคเพื่อไทยกุมบังเหียนอยู่ จะไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แล้ว ในวันสุดท้ายของการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เมื่อเย็นวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังลงมติเสร็จสิ้น “แพทองโพย”ก็ยังพูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่องแต่ยังไม่เคยลงมือทำว่า การจัดทำงบประมาณปี 2569 ก็เพื่อมุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพื่อจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ตลอดจนสร้างโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงทรัพยากร รวมถึงมุ่งเน้นการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศ ให้เป็นไปตามกรอบกฎหมาย
เพราะอย่าว่าแต่การรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศให้เป็นไปตามกรอบกฎหมาย ที่ไม่สามารถทำได้ คือนอกจากรัฐบาลจะต้องกู้เงินชดเชยการขาดดุลงบประมาณสูงถึงปีละ 8 แสนกว่าล้าน ทั้งในปีงบประมาณ 2568 และ 2569 รวมทั้งหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ไม่เกิน 70 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP ก็ยังพุ่งสูงเกือบแตะเพดาน โดยมีตัวเลขอยูที่ 64.13 เปอร์เซ็นต์แล้ว การมุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ก็อย่าได้หลงเชื่อว่า รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยจะทำได้ เนื่องจากแค่การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ภายใต้โครงการแจกเงิน“ดิจิทัล 1 หมื่นบาท” ในการกำกับดูแลของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยังล้มเหลว
พายุหมุนทางเศรษฐกิจ 4 ลูกจากการแจกเงิน“ดิจิทัล 1 หมื่นบาท” ตามที่นายพิชัย ชุณหวชิร โฆษณาชวนเชื่อ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง จนถูกค่อนแคะว่า“เสียงผายลม”ก็ยังไม่มีใครได้ยิน เงินเกือบ 2 แสนล้านบาทที่รัฐบาลยักย้ายถ่ายเทเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี มาแจกให้แก่กลุ่มผู้เปราะบางและผู้สูงอายุ ในเฟสแรกและเฟสสอง กลายเป็นการ“ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ”
จะมีก็แต่พรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์เต็มๆ คือ ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินไปสร้างคะแนนนิยม จากการ“ตกเขียว”เอาไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง โดยไม่ต้องควักกระเป๋าตนเองจ่ายแม้แต่บาทเดียว
ไม่เพียงแต่เท่านั้น โครงการแจกเงิน“ดิจิทัล 1 หมื่นบาท”นี้ อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะมีโอกาสปรับคณะรัฐมนตรีเสียด้วยซ้ำ อันเป็นผลมาจากการที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์, นายสมชาย แสวงการ อดีต สว., นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ“ทนายนกเขา” และ ร.ศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้ยื่นคำร้องให้ ป.ช.ป. ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอนคณะรัฐมนตรี, สส. และ สว. หลังพบว่ามีการกระทำผิดฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 และมาตรา 88 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จากการตัดเงินงบประมาณฯปี 2568 ในส่วนที่ต้องใช้หนี้จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาทไปใช้ในโครงการแจกเงิน“ดิจิทัล 1 หมื่นบาท”
กรณีเงิน 3.5 หมื่นล้านบาทดังกล่าวนั้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ อาจะถึงขั้นเกิด“วิกฤตทางการเมือง”ก็เป็นได้ เพราะไม่ได้มีผลเฉพาะรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีที่จะต้องหลุดจากตำแหน่งไปทั้งยวงเท่านั้น แต่ สส.และ สว.ครึ่งค่อนรัฐสภาที่เข้าไปเป็นกรรมาธิการและมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดงบประมาณก้อนนี้ ก็จะต้องโดนถูกถอดถอนพร้อมกันด้วย และนั่นก็จะทำให้เข้าสู่ภาวะ“สุญญากาศการเมือง”ขึ้นมาทันที
อย่างไรก็ตาม นอกจากกระทรวงการคลังที่พรรคเพื่อไทยคุมอยู่จะไม่มีผลงานแล้ว กระทรวงอื่นๆ ก็เช่นกัน โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ที่มีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ เป็นเจ้ากระทรวง ก็ถือว่าล้มเหลว ทั้งนี้ ดูจากจากตัวเลขของศูนย์สำรวจความคิดเห็น“นิด้าโพล”เมื่อเร็วๆ นี้ ปรากฏว่า กระทรวงพาณิชย์ภายใต้การกำกับดูแลของพรรคเพื่อไทยนั้น..ประชาชนคนไทยต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีสูงเป็นอันดับหนึ่ง..ถึงร้อยละ 57.02..จาก 1,310 หน่วยตัวอย่างที่สุ่ม
สรุปก็คือ ถ้าหากว่า“ทักษิณ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรีตัวจริง ต้องการจะยึดกระทรวงมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทยมาไว้ในมือพรรคเพื่อไทย ด้วยเป้าหมายเพราะกระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงใหญ่ที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชน อันเป็นฐานคะแนนสำคัญในต่างจังหวัด อีกทั้งยังเป็นมือไม้สำคัญที่สามารถกุม“หัวคะแนน”ทั้งกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้ง อบจ.และ อบต.ไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งโดยปกติในอดีตที่ผ่านๆ มา พรรคที่เป็นแกนนำรัฐบาลจะต้องยึดกระทรวงมหาดไทยไว้ในโควต้าของตนตั้งแต่เริ่มจัดตั้งรัฐบาล แต่คราวนี้พรรคเพื่อไทยยอมสละให้พรรคภูมิใจไทย ก็ด้วยเหตุที่ต้องการจะเป็นรัฐบาล และต้องพึ่งพาเสียงของพรรคภูมิใจไทย 70 เสียงในตอนนั้น
วันนี้เมื่อสถานการณ์ผ่านจากจุดนั้นมา, “ทักษิณ ชินวัตร”จึงหาข้ออ้างจากการไปพูดในงานครบรอบ 25 ปีเนชั่นทีวี ว่า “การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือกระทรวงมหาดไทย วันนี้มันไม่ค่อยถึง เพราะว่ากระทรวงมหาดไทยยังไม่ค่อยทำเต็มที่ เวลามันเหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่ มันเป็นเรื่องการทำงานเพื่อประชาชน ถ้าอยากทำงานให้ได้ผล พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเพื่อให้นโยบายถึงประชาชนจริงๆ ก็ต้องให้กระทรวงมหาดไทยอยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย นี่คือหลักการ"
เรื่องกระทรวงมหาดไทยนี้ แม้ว่า“ทักษิณ ชินวัตร”จะมั่นใจว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยยึดกระทรวงมหาดไทย “น่าจะคุยกันรู้เรื่อง” และพรรคภูมิใจไทยคงไม่ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองส่วนใหญ่ เชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยที่เวลานี้มี สส.อยู่ในมือ 69 เสียง หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมแน่นอน ไม่ว่าจะเอากระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข หรือกระทรวงดิจิทัลฯ มาล่อ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนตามข่าวที่มีการปล่อยออกมาก็ตาม
ถ้าหากพรรคภูมิใจไทยยอม ก็เท่ากับยืนยันว่า ที่“ทักษิณ ชินวัตร”พูดนั้นเป็นความจริง คือพรรคภูมิใจไทย“ยังไม่ค่อยทำเต็มที่” หรือพูดให้ชัดก็คือ กระทรวงมหาดไทยที่พรรคภูมิใจไทยกำกับดูแลอยู่นั้น ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะยังไม่ได้ทำงานเต็มที่ ขณะที่พรรคภูมิใจไทยเชื่อมั่นว่าได้ทำแล้วอย่างเต็มที่ และมีผลงานเป็นที่ปรากฏ
ทั้งนี้ สามารถถอดรหัสได้จากน้ำเสียงของ“ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย..ผู้เป็นตัวตายตัวแทนของ“เนวิน ชิดชอบ”..ซึ่งเคยประกาศกลางสภาฯมาแล้วว่า“ไม่เอากาสิโน”ของพรรคเพื่อไทย..โดยได้อภิปรายส่งท้ายวันลงมติร่างกฎหมายงบประมาณฯปี 2569..วาระแรกเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า..“ผม..และ สส.ภูมิใจไทย..และท่านอนุทิน (ชาญวีรกูร)..พูดด้วยความภาคภูมิใจ..ทำทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้อำนาจหน้าที่รับผิดชอบ..เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนไทย.. และทำต่อไป..คำถามเดียวที่จะฝากไปคือ..พวกเราทำแล้ว..พวกท่านทำแล้วหรือยัง”
“ทักษิณ ชินวัตร” กล่าวหาว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ทำอะไร เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมในงานครบรอบ 25 ปีเนชั่นทีวี ขณะที่“ไชยชนก ชิดชอบ”อภิปรายกลางสภาฯในวันรุ่งขึ้น เหมือนเป็นการตอกกลับ“ทักษิณ”ว่า พรรคภูมิใจไทยทำแล้ว แต่พรรคเพื่อไทยทำแล้วหรือยัง
ถึงที่สุดแล้วเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยโดย“ทักษิณ ชินวัตร” ไม่กล้ายึดกระทรวงมหาดไทยมาจากพรรคภูมิใจไทย เพราะยึดเมื่อไหร่รัฐบาลก็แตกเมื่อนั้น !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี