ในสมัยรัฐบาลของ นายกรัฐมนตรี หลวงพิบูลสงครามได้มีการแก้ไขกติกาการปกครองในเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้มีคนเล่นงานรัฐบาลของหลวงพิบูลฯ ด้วยว่าได้เหนี่ยวรั้งประชาธิปไตย นั่นคือการแก้บทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ที่กำหนดเงื่อนไขสำคัญว่าในช่วงเวลาตามบทเฉพาะกาล ไม่เกิน 10 ปี หากราษฎรยังจบประถมศึกษาไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด ก็ให้มีผู้แทนราษฎรประเภทแต่งตั้งได้กึ่งหนึ่ง
การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนั้น เริ่มขึ้นที่สภาผู้แทนราษฎรในการประชุมเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2483 ผู้ที่เสนอคือ ขุนบุรัสการกิตติคดี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งจังหวัดอุบลราชธานี ดังมีความที่น่าสนใจในคำอภิปรายของท่าน ที่ ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์ ว่าไว้
“…แต่ท่านประธานที่เคารพ ระบอบรัฐธรรมนูญของเราต้องระหกระเหินยุ่งยากมาหลายครั้งหลายคราวดังได้ทราบกันอยู่แล้ว เป็นต้นว่า การปิดสภาฯ และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา การกบฏในพ.ศ.2476 และการชำระคดีของศาลพิเศษเมื่อเร็วๆ นี้ ย่อมกระทบกระเทือนจิตใจของคนทั่วไป และทำให้การบริหารงานของรัฐบาลในระบอบนี้ต้องประสบอุปสรรคอยู่เนืองๆ อันที่จริงแต่เพียงเป็นของใหม่เป็นระบบใหม่ที่ไม่คุ้นเคยก็ยากอยู่จะเข้าใจอยู่แล้ว ชอบมีเรื่องที่ถูกกระเทือนไม่รู้แล้วรู้รอดอีกเช่นนี้ บทเฉพาะกาลที่มีกำหนด 10 ปีจึงไม่พอ…
อนึ่ง การยืดการออกไป ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนด้วยประการใดๆเลย…”
รายงานการประชุมในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2483 บันทึกไว้ว่าสภาฯมีมติรับหลักการ
“เมื่อได้มีการอภิปรายกันแล้ว ที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการแห่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมนี้ …และลงมติให้ส่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ไปให้คณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งได้เลือกตั้งขึ้นมีจำนวน 15 นายเพื่อพิจารณา”
รายชื่อคณะกรรมาธิการมีดังนี้ นายอำไพ อิศรางกูร ณ อยุธยา นายแก้ว สิงหะคเชนทร์หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ พ.ต.อ.พระพิจารณ์พลกิจ พ.อ.หลวงพรหมโยธีเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ นายทองอินทร์ภูริพัฒน์ ร.ท.ขุนศรไกรพิศิษฎ์ นายบุลจักร(จู๋) ลิ่มศิลาพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร นายเดือนบุนนาค พล.ต.พระยาพหลพลพยุหะเสนาพล.ร.ต.หลวงสินธุสงครามชัย และ พ.ต.หลวงเชวงศักดิ์สงคราม
การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เสร็จลงเรียบร้อยและประกาศใช้ “รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยบทเฉพาะกาล พุทธศักราช 2483” เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2483 เนื้อความสำคัญที่แก้ไขนั้น คือยกเลิกความในมาตรา 65 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ 10 ธันวาคม 2475 และใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา 65 ตั้งแต่วันใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินไทยชั่วคราว พุทธศักราช 2475 เป็นกำหนดเวลายี่สิบปี สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสองประเภทมีจำนวนเท่ากัน
(1) สมาชิกประเภทที่ 1 ได้แก่ ผู้ที่ราษฎรเลือกตั้งขึ้น ตามเงื่อนไขในบทบัญญัติมาตรา 16 และมาตรา 17
(2) สมาชิกประเภทที่ 2 ได้แก่ ผู้ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475”
การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลสามารถแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้จำนวนครึ่งหนึ่งของสมาชิกในสภาทั้งหมดต่อไปได้จนถึง พ.ศ. 2495 นั่นเอง แต่ในความเป็นจริงใน พ.ศ. 2489 ก็ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ที่รัฐสภาประกอบด้วยพฤฒสภากับสภาผู้แทนราษฎร และไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนฯที่มาจากการแต่งตั้ง
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี