การที่กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเข้าประเทศไทยในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ทำให้นายกรัฐมนตรี จอมพลป.พิบูลสงคราม ได้เรียกประชุมวิสามัญแห่งสภาผู้แทนราษฎร โดยมีการประชุมลับขึ้นในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2484 มีสมาชิกสภาเข้ามาประชุม 122 คน การประชุมครั้งนี้จึงไม่ได้มีรายงานการประชุมบันทึกเปิดเผยไว้ แต่ ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์ เจ้าหน้าที่รัฐสภาจำความมาบันทึกเล่าให้คนรุ่นหลังอ่าน มีความน่าสนใจดังนี้
“ในตอนบ่ายวันที่ 9 ธันวาคมนั้น ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นพิเศษ รัฐบาลได้นำเรื่องญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา มาแถลงให้ที่ประชุมทราบ แจ้งให้ทราบว่า ทางฝ่ายรัฐบาลได้ยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านประเทศไทย เพื่อไปทางมาเลเซีย สิงคโปร์ และพม่า เพราะไม่มีทางจะต่อสู้ต้านทานกำลังกองทัพญี่ปุ่นได้ จึงยอมตามคำขอ
มวลสมาชิกสภาได้รับทราบดังนั้นแล้ว เพราะเหตุที่ได้กล่าวมาแล้วว่า คนไทยทุกคนได้รับการปลุกใจให้รักชาติ ให้ทำการต่อสู้ศัตรู ตามกฎหมายกำหนดหน้าที่ของคนไทยในการรบ เมื่อทราบว่ารัฐบาลยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านไปโดยไม่ได้มีการต่อสู้ตามที่เคยประกาศชักชวนไว้ อันตรงกันข้ามกับจิตใจของคนไทยในขณะนั้นจึงทำให้การประชุมในครั้งนั้นเป็นการประชุม
ที่สุดแสนเศร้าที่สุด ทั้งสมาชิกสภา รัฐมนตรีได้อภิปรายซักโต้ตอบกันด้วยน้ำตานองหน้าความรู้สึกของทุกคนในขณะนั้น คล้ายกับว่าเด็กถูกผู้ใหญ่ที่มีกำลังมหาศาลรังแก จะสู้ก็สู้ไม่ได้ ทั้งมีความวิตกว่า ประเทศไทยได้สูญเสียเอกราชอธิปไตยไปแล้ว
รัฐสภาได้ทราบด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง”
พ.ศ. 2484 เป็นปีแรก ที่ประเทศไทยเริ่มต้นกำหนดใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นต้นปีใหม่และในปีนี้เองได้มีเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมืองอยู่มากพอสมควร คือในเดือนมกราคม กองบัญชาการทหารไทยซึ่งมีจอมพลป.พิบูลสงครามเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดนอกเหนือจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ได้ส่งเครื่องบินไทยไปโจมตีดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศส เพราะได้มีการรบปะทะกันมาแล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีก่อนที่เรียกกันว่า สงครามอินโดจีน และยังมีการสู้รบกันทางทะเล ที่ทางด้านหัวเมืองตะวันออกของประเทศในบริเวณอ่าวไทย ในเขตจังหวัดตราดที่บริเวณเกาะช้างจนเกิดการสู้รบที่เรียกกันว่า “ยุทธนาวีที่เกาะช้าง” ซึ่งทางฝรั่งเศสได้ส่งกองกำลังทั้งเครื่องบินและเรือรบของฝรั่งเศส จากฐานทัพเรือเรียมในเขมร ซึ่งตอนนั้นเป็นดินแดนในอารักขาของฝรั่งเศส เข้ามาโจมตีกองเรือของไทย จึงเกิดการสู้รบกัน และก่อให้เกิดความเสียหายแก่กองเรือไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือรบหลวงธนบุรีที่ถูกโจมตีจนมีนายทหารเสียชีวิตหลายนายรวมทั้งผู้บังคับการเรือ นาวาเอกหลวงพร้อมวีระพันธ์ สงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศสนี้ได้ยุติลงโดยได้ญี่ปุ่นเป็นผู้เข้ามาไกล่เกลี่ยให้เจรจาตกลงกันจนมีสนธิสัญญาโตเกียวที่ไปลงนามกันบนเรือรบของญี่ปุ่นที่เมืองโตเกียว ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเชียที่มีบทบาทสำคัญในการเจรจาหาข้อยุติของความขัดแย้งระหว่างประเทศหรือดินแดนในภูมิภาคนี้ในตอนนั้น ที่จริงเมื่อเกิดสงครามขึ้นในยุโรประหว่างเยอรมันฝรั่งเศสและอังกฤษจนแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ได้มีการคาดกันว่าญี่ปุ่นนั้นเข้าข้างเยอรมนี แต่ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าญี่ปุ่นจะดำเนินมาตรการรุกในบริเวณเอเชียอาคเนย์เมื่อใด เข้าใจว่าหลวงพิบูลสงครามเองก็กังวลในเรื่องนี้จึงได้มีการปลุกเร้าใจให้ประชาชนตื่นตัวเรื่องความรักชาติรักแผ่นดิน เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เมื่อวันเวลามาถึง และวันเวลาก็มาถึงในเช้าวันที่ 8 ธันวาคมซึ่งเป็นเดือนปลายปีของปี 2484 เมื่อกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกในประเทศไทย อันเป็นช่วงวันเวลาใกล้เคียงมากกับที่กองทัพญี่ปุ่นได้โจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ของสหรัฐอเมริกาที่ฮาวาย
ในเวลานั้นจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีที่เข้มแข็งและมีอำนาจมาก แต่ท่านยังเห็นความสำคัญของสภาผู้แทนราษฎร จึงได้นำเรื่องเข้าแจ้งให้สภาผู้แทนราษฎรทราบ
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี