ขณะนี้ เห็นว่า กำลังมีการสังคายนาระบบการจัดการกับวัด พระสงฆ์ และบุคคล ที่ร่วมกันกระทำในเรื่อง “เพศ” และ “เงิน” ในทางที่เสียหายต่อพระพุทธศาสนา
1.ปัญหาที่ผ่านมา ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่พระพุทธศาสนา เกี่ยวข้องกับ 2 อย่างนี่เองได้แก่ เงิน กับ เพศ
เกี่ยวกับเงิน เช่น กรณีทุจริตเงินวัด เงินบริจาค ฟอกเงิน รับของโจร
เกี่ยวกับเพศ เช่น พระหรือสามเณรมีเพศสัมพันธ์ เสพเมถุน ปาราชิกแต่ปกปิดอำพรางตนในผ้าเหลืองต่อไป
สองเรื่องนี้มักเกี่ยวกัน เพราะระยะหลัง ผู้หญิงที่เข้าหาพระ ก็เพราะว่าพระมีเงินนั่นเอง
2.บาปบุญคุณโทษ คติคำสอนเรื่อง นรก-สวรรค์ เอาไม่อยู่สำหรับคนพวกนี้
ขนาดว่ามีเพศสัมพันธ์กันในกุฏิพระ ในรถตรงลานจอดสมสู่มั่วกัน เอาเงินทองไปปรนเปรอกัน ฯลฯ แล้วยังกล้าเปิดเผยต่อสาธารณชน เพราะเล็งเห็นว่าไม่มีกฎหมายเอาผิดสำหรับการเสพสังวาสกับพระ
ไม่กลัวนรก-สวรรค์อะไรเลย ไม่ว่าขุมนรกอเวจีหรือขุมไหนๆ
ตัวพระก็แค่เพียงลาสิกขาไป อ้างว่าเพื่อความเรียบร้อย ไม่มีกฎหมายเอาผิด แม้จะทรยศต่อศรัทธาชาวพุทธ เอาผ้าเหลืองแสวงหากามคุณ เสพสังวาสจนปาราชิก แล้วยังซุกซ่อนตนในผ้าเหลืองโดยหลอกลวงตลอดมา ก็เอาผิดทางกฎหมายไม่ได้
ส่วนที่อาจเอาผิดทางกฎหมายที่จะมีโทษจำคุกในปัจจุบัน ก็คือกรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือยักยอกเงินวัดไปปรนเปรอคู่นอนเท่านั้น
3.การขยับแก้กฎหมาย และยกเครื่องการดำเนินการในทางปกครองสงฆ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็น และน่าจะช่วยให้การตรวจสอบ บังคับใช้กฎหมาย มีส่วนในการขจัดอลัชชี รวมถึงมารศาสนาที่เข้าไปหาประโยชน์โดยมิชอบด้วย
เพราะเมื่อมีกฎหมายบัญญัติโทษทางอาญาสำหรับพระและผู้ใดที่เสพสังวาสกับพระสงฆ์ มีโทษจำคุก ต่อไป ตำรวจก็จะมีอำนาจหน้าที่เข้าไปสอดส่องและดำเนินคดี จากเดิมที่เป็นเรื่องในทางคณะสงฆ์อย่างเดียว ทำให้บางกรณีพระชั้นผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลบารมีในวงการสงฆ์ก็ไม่มีพระด้วยกันกล้าแตะ
รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพ ธรรมาภิบาล และความโปร่งใสในการจัดการเงินของวัดและพระ ก็จะทำให้เกิดความโปร่งใส ปิดช่องรั่วไหลได้มากกว่าเดิม
พระสงฆ์ที่เคยเสพเมถุนทั้งหลาย ควรรีบลาสิกขาออกไปเสีย เพราะหลังจากนี้ เมื่อมีกฎหมายเอาผิดพระเสพเมถุน มีโทษจำคุก จะไม่สามารถลาสิกขาแล้วจบเรื่อง แต่จะมีโทษอาญา ติดคุกติดตะรางด้วย
4.สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระบัญชาโปรดให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม เรียกประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งพิเศษโดยด่วน
โดยเหตุที่ทรงพระปรารภห่วงใยสถานการณ์ปัจจุบันอันปรากฏกรณีพระภิกษุซึ่งเป็นเจ้าคณะพระสังฆาธิการ เจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของพุทธบริษัท กระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ และถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ กระทบกระเทือนต่อศรัทธาของพุทธศาสนิกชน อีกทั้งส่งผลเสียต่อความมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ อันเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของราชอาณาจักรไทย
จึงมีพระบัญชาโปรดให้มหาเถรสมาคม ประชุมหารือเพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไข ปรับปรุงแนวทางดำเนินการกรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ ให้สมสมัย และสอดคล้องกับสถานการณ์อันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนับจากอดีต ซึ่งแม้มีกฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง มติ และกระบวนการอยู่แล้ว แต่ในบัดนี้ อาจพ้นสมัย ไม่เท่าทันสำหรับป้องกันและแก้ไขปัญหา เพื่อจักได้ทรงพระวินิจฉัย แล้วจักได้มีพระลิขิตนำความถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อัครพุทธศาสนูปถัมภก เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยในการพระราชทานอารักขาและพระบรมราชูปถัมภ์ต่อไป
5.ล่าสุด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แจ้งมติมหาเถรสมาคม วาระพิเศษ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ มติที่ ๕๖๙/๒๕๖๘ เรื่อง แนวทางดำเนินการกรณีพระภิกษุกระทำผิดและถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ
เนื้อหากล่าวโดยสรุป ดังนี้
5.1 มอบหมายสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประสานสำนักงานตำรวจสอบสวนกลาง
ให้จัดส่งข้อมูลและพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติของพระภิกษุตามที่ปรากฏในสารบบข้อมูลและพยานหลักฐานที่เจ้าพนักงานได้ยึดหรือเก็บรักษาไว้ ทั้งที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันหรือที่อาจปรากฏขึ้นอีกในภายหน้าเกี่ยวกับกรณีนี้ ถวายแด่เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก หนกลาง หนเหนือ หนใต้ หรือเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ซึ่งเป็นเจ้าคณะผู้ปกครองของพระภิกษุรายที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ
และให้เจ้าคณะใหญ่เรียกตัวพระภิกษุรายนั้น มาสืบสวนข้อเท็จจริง
หากกรณีปรากฏพยานหลักฐานชัดแจ้ง ให้ดำเนินการให้สละสมณเพศ
หากพระภิกษุผู้ถูกกล่าวหาประสงค์จะโต้แย้งหรือมีพยานหลักฐานแย้ง ให้เจ้าคณะใหญ่พิจารณาดำเนินการตามควรแก่กรณี ทั้งนี้ ต้องเป็นไปโดยรวดเร็วและเด็ดขาด และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าประสานความร่วมมือ สนับสนุนการดำเนินการของเจ้าคณะใหญ่โดยใกล้ชิด
5.2 เพื่อป้องกันแก้ไขโดยเร่งด่วน แต่ต้องรอบคอบ รัดกุมและสอดคล้อง ต้องด้วยหลักพระธรรมวินัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
การนี้ ในระยะเร่งด่วนเฉพาะหน้า เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ตั้งแต่ระดับเจ้าคณะใหญ่จนถึงเจ้าอาวาส ตลอดจนพระวินยาธิการ ต้องสำนึกในหน้าที่และทำตามหน้าที่ให้สมกับตำแหน่งที่ดำรงอยู่
โดยให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ดำเนินการตรวจสอบ ดูแล และกำกับพฤติกรรมของพระภิกษุในปกครองอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ ตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง มติคณะสงฆ์ และพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช หากปรากฏพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายละเมิดพระธรรมวินัย ให้เร่งดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงตามกฎมหาเถรสมาคมโดยมิชักช้า แล้วรายงานต่อ มหาเถรสมาคมโดยเร็ว
นอกจากนี้ ให้เน้นย้ำความสำคัญการดำเนินงานของคณะสงฆ์ในด้านการปกครอง การศาสนศึกษา และการเผยแผ่พระพุทธธรรมในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และมติบูรพาจารย์ ที่กำหนดหลักสูตรและวิธีการโดยชอบด้วยวิธีวิทยา และตามหลักไตรสิกขา ขอให้กวดขันพระภิกษุสามเณรในปกครองให้งดพฤติกรรมโน้มน้าวใจประชาชนให้หลงใหลนิยมในวัตถุปัจจัย กับทั้งพิธีกรรมนอกหลักพระพุทธศาสนา และพุทธศาสนประเพณี
5.3 มหาเถรสมาคม กำหนดนโยบายกรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ ดังนี้
(1) กรณีพระภิกษุกระทำความผิดทางพระธรรมวินัย
หากปรากฏว่ามีมูลหรือเข้าข่ายละเมิดพระวินัย ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ตามลำดับชั้น ออกคำสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน เพื่อประโยชน์แก่การดำเนินการตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย
และเป็นหน้าที่ของมหาเถรสมาคม และพระสังฆาธิการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๒๔ - ๒๗ โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะเป็นผู้รับผิดชอบในการประสานงานและสนับสนุนการดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว
(2) ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่มิใช่เจ้าคณะพระสังฆาธิการผู้มีตำแหน่งหน้าที่ปกครอง หรือมิใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยกิจการพระพุทธศาสนาและการคณะสงฆ์ แต่พบเห็นพยานหลักฐาน หรือพฤติการณ์กรณีพระภิกษุกระทำความผิดทางพระธรรมวินัย และมีกุศลเจตนาต่อการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ เข้าบูรณาการความร่วมมือกับเจ้าคณะพระสังฆาธิการ พระวินยาธิการ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อจักได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางพระธรรมวินัย กฎหมาย และกฎมหาเถรสมาคม
อนึ่ง เจ้าคณะพระสังฆาธิการผู้ปกครองคณะสงฆ์ตามลำดับชั้นรูปใด ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต นอกจากจะละเมิดจริยาพระสังฆาธิการอันมีโทษแล้ว ยังอาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ในฐานะที่ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาด้วย
(3) ในกรณีที่ยังไม่มีคำพิพากษา การลงโทษตามกระบวนการนิคหกรรม หรือหลักฐานยืนยันความผิดอย่างชัดเจน ทั้งตามกฎหมายบ้านเมืองและพระธรรมวินัย
พึงระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชน และสาธารณชน ด้วยเหตุที่ผู้ถูกกล่าวหาย่อมถูกสันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะต้องคำพิพากษา หรือคำตัดสินว่ากระทำความผิด
(4) ให้เร่งปรับปรุงกลไกการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปอย่างเข้มงวด รวดเร็ว รอบคอบ และรัดกุม
โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต้องทำหน้าที่เป็นหน่วยประสานหลักระหว่างคณะสงฆ์ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
(5) กระบวนการทั้งปวงต้องจัดลำดับความสำคัญของการตรากฎหมาย กฎ ระเบียบ ออกคำสั่ง หรือมีมติ ตามหลักความสำคัญเชิงนโยบาย
หลักพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นหลักการสูงสุดสำหรับวินิจฉัยกรณีพระภิกษุผู้กระทำละเมิดพระวินัย
(6) แนวทางการทบทวนและปรับปรุงกฎระเบียบของคณะสงฆ์ว่าด้วยการกระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ
มหาเถรสมาคมเห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีหน้าที่ศึกษาและทบทวนกฎมหาเถรสมาคมที่เกี่ยวข้องกับนิคหกรรม อำนาจตามกฎหมายของพระสังฆาธิการ พระวินยาธิการ และข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ขั้นตอนการสืบสวนสอบสวน แนวทางการสื่อสารกับสาธารณชน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพระภิกษุผู้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา หรือถูกสันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ รวมถึงแนวทางบูรณาการภารกิจร่วมกับ
หน่วยงานภาครัฐ ให้เหมาะสม กับสภาวการณ์ปัจจุบัน โดยไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย
อนึ่ง ให้เลขาธิการมหาเถรสมาคมนำความกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช ทราบฝ่าพระบาท เพื่อขอประทานพระวินิจฉัย ในการกำหนดชื่อหน่วยงานที่สมควรเข้าร่วมภารกิจ กับทั้งคณะบุคคล และบุคคล ผู้สมควรได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการ อีกทั้งขอประทานพระนโยบายในการกำหนดหน้าที่และอำนาจ
(7) มหาเถรสมาคมน้อมรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชให้ดำเนินการโดยเร่งด่วน
โดยมหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ ที่มีข้อมูลและพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดของภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
ทั้งนี้ มหาเถรสมาคม มีหน้าที่ธำรงรักษาพระธรรมวินัยและจริยาของคณะสงฆ์ หากความปรากฏว่ารูปใดต้องอาบัติปาราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสละสมณเพศตามกฎหมายโดยทันที
ส่วนในกรณีที่แม้อาบัติ ยังไม่ถึงขั้นปาราชิก แต่มีความร้ายแรงรองลงมา เช่น อาบัติสังฆาทิเสสทั้ง ๑๓ ข้อ หากผู้ต้องอาบัตินั้น ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการหรือเป็นผู้ได้รับสมณศักดิ์ เมื่อความปรากฏหรือกระบวนการนิคหกรรมพิสูจน์แล้วว่าต้องอาบัติดังกล่าว แม้จะยังคงสถานะภิกษุอยู่ ก็ถือว่าเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง มหาเถรสมาคมจะดำเนินการปลดจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์ต่อไป
6.สุดท้าย พุทธบริษัท 4 พึงตระหนักร่วมกัน
โดยเฉพาะสำนักพุทธฯ และพระราชาคณะทั้งหลาย พึงสำเหนียก
ปรากฏการณ์ที่ในหลวงทรงมีพระบรมราชโองการ “ยกเลิกพระบรมราชโองการประกาศสถาปนาสมศักดิ์” พระสงฆ์ 81 รูป ในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ปีนี้
“...บัดนี้ ทรงมีพระราชดำริว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับพระภิกษุ ซึ่งประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่สมณสารูป และพระราชาคณะกระทำผิดพระธรรมวินัย เป็นเหตุให้พุทธศาสนิกชนได้รับผลกระทบต่อจิตใจเป็นอย่างยิ่ง จึงประกาศยกเลิกพระบรมราชโองการประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ และพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ดังกล่าว…”
ถ้าขนาดนี้ ยังไม่สำเหนียก ก็คงไม่ต้องรอให้ตายตกนรก
เชื่อว่า คนจำพวกนี้ ถ้ายังไม่หยุดทำชั่ว หรือยังปกป้องพวกเดียวกันอยู่ จะต้องเจอกับ “นรกทั้งเป็น” อีกไม่นานหลังจากนี้…สาธุ
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี