ในปีพ.ศ. 2487 รัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ออกพระราชกำหนด 2 ฉบับในช่วงเวลาที่ปิดสภาผู้แทนราษฎร ฉบับแรกคือพระราชกำหนดระเบียบบริหารนครบาลเพชรบูรณ์
ที่ประกาศใช้ในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2487 โดยมีความมุ่งหมายเตรียมการในภาวะสงครามให้มีเมืองหลวงสำรองนอกจากพระนคร ไปอยู่ที่เมืองเพชรบูรณ์ เพราะในตอนนั้น ความเข้มข้นของสงครามได้ทวีขึ้น และดูจะใกล้ประเทศไทยมากขึ้นด้วย ครั้งนั้นได้มีประกาศแต่งตั้งให้รองนายกรัฐมนตรีคือ พันเอก หลวงเชวงศักดิ์สงคราม ให้มีอำนาจบริหารราชการทั้งสิ้น
แทนนายกรัฐมนตรีด้วย ส่วนฉบับที่สองคือพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑล ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2487 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างพุทธบุรีมณฑลขึ้น และได้มีประกาศสถาปนาพุทธธนบุรีมณฑล ออกมาในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2487 ด้วย
เมื่อมีการเปิดสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 24 มิถุนายน 2487 แล้ว ในวันที่ 20 กรกฎาคม รัฐบาลก็ได้นำพระราชกำหนดระเบียบบริหารนครบาลเพชรบูรณ์เสนอต่อสภาฯเพื่อขออนุมัติ สภาฯได้มีมติลับ ไม่อนุมัติพระราชกำหนดระเบียบบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ การที่สภาฯไม่อนุมัติพระราชกำหนดครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่สภาฯไม่อนุมัติพระราชกำหนดที่รัฐบาลเสนอ จึงนับเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่เรื่องนี้ก็หาได้ทำให้รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ลาออกแต่อย่างใด อีกสองวันต่อมาในวันที่ 22 กรกฎาคม ทางรัฐบาลจึงได้เสนอแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 แทนตำแหน่งที่ว่างไปอีก 9 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายศิริ ชาตินันท์ พันโทอุดม พุทธิเกษตริน นายจำรัส สุวรรณชีพ นายการุณ ศรีจรูญ
ร้อยตำรวจตรี วิจารณ์ เกษโกมล นายแช่ม พรหมยง พันโทเจือ สฤษดิ์ราชโยธิน ร้อยตำรวจโท เชย กลัญชัย และพันโท ม.ร.ว.ลาภ หัสดินทร จากรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่นี้เชื่อกันว่าน่าจะไม่ใช่คนที่สนับสนุนหรือสายเดียวกับหลวงพิบูลสงครามเสียทั้งหมด เพราะมีสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือนอยู่หลายนายในวันเดียวกันกับที่เสนอแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เข้ามาใหม่นี้ ทางรัฐบาลก็เสนอสภาฯ เพื่อให้พิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑล ด้วย เพราะน่าจะมั่นใจมากขึ้นด้วยมีสมาชิกจากการแต่งตั้งเข้ามาใหม่ถึง 9 นาย และในวันนี้สภาผู้แทนราษฎรก็ได้แสดงฤทธิ์ มีมติไม่อนุมัติพระราชกำหนดที่รัฐบาลเสนอเป็นฉบับที่สองในเวลาที่ห่างกันเพียง 2 วันเท่านั้นเอง
ถึงตอนนี้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วยในเวลาเดียวกัน จึงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 24 กรกฎาคม มีผู้เชื่อกันว่าที่จอมพลฯลาออกนี้ ท่านต้องการหยั่งเสียงจากองค์กรสำคัญของประเทศ 2 องค์กร องค์กรแรกก็คือคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่มีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เป็นประธานและมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่อีกท่านหนึ่ง ว่าจะมีความเห็นอย่างไร จอมพล ป.อาจจะคิดว่าท่านอาจได้รับการยับยั้งจากประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ได้ และหากผ่านจากคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปแล้ว การลาออกก็จะต้องทำให้สภาผู้แทนราษฎรจะต้องปรึกษาหารือหาคนมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งในยามนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะหาง่ายๆ เพราะจอมพลป.พิบูลสงครามยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจควบคุมบังคับบัญชาทหารทั้งหมดของประเทศ ท่านอาจจะปฏิบัติการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อใดก็ได้
ปรากฏว่าประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มิได้ยับยั้งใบลาออก แต่ท่านได้ลาออกจากตำแหน่งประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2487 และอีกวันถัดมาคือในวันที่ 1 สิงหาคม สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเลือกนายควง อภัยวงศ์ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนจอมพลป.พิบูลสงคราม ด้วย
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี