การประกาศยอมแพ้สงครามของญี่ปุ่นในวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2481 ทำให้ประเทศไทยซึ่งเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นและเคยประกาศสงครามกับประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ตกอยู่ในฐานะลำบาก อาจถูกหาว่าเป็นประเทศที่แพ้สงครามด้วย เพราะรัฐบาลไทยร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกัน ในเวลานั้นได้มีขบวนการเสรีไทยเกิดขึ้นทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งทางเสรีไทยได้ติดต่อร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นอย่างดี ส่งข่าวความเคลื่อนไหวของกองทัพญี่ปุ่นในประเทศไทยให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร และมีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ามาปฏิบัติงานร่วมมือกับบุคลากรของเสรีไทยในประเทศไทย ทั้งทางฝ่ายเสรีไทยยังได้ช่วยดูแลเชลยศึกส่วนหนึ่งที่อยู่ในไทยให้รอดพ้นจากการถูกส่งตัวไปทำงานและทนทุกข์ทรมานในค่ายกักกันเชลยที่ญี่ปุ่นดูแลด้วย การดำเนินงานของเสรีไทยจึงได้รับการรับรองจากหน่วยงานของสหรัฐและอังกฤษที่ประสานงานกับเสรีไทย ผู้นำเสรีไทย คือนายปรีดีพนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จึงได้หารือกับผู้นำทางการเมืองไทยเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว และทันกาล นายกรัฐมนตรีได้ติดต่อประธานสภาฯขอนัดประชุมสภาในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2487 เพราะมีเรื่องสำคัญเสนอสภาฯ และเมื่อการดำเนินการของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กับรัฐบาลได้ลุล่วงแล้ว ประธานสภาฯ จึงเปิดประชุม และได้อ่านพระบรมราชโองการประกาศสันติภาพ เสนอต่อที่ประชุม ดังขอนำเนื้อความที่สำคัญมาให้พิจารณา
“โดยที่ประเทศไทยได้เคยถือนโยบายอันแน่วแน่ที่จะรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดและจะต่อสู้การรุกรานของต่างประเทศทุกวิถีทาง……ในเมื่อญี่ปุ่นได้ยาตราทัพเข้าในดินแดนประเทศไทย ในวันที่ 8 ธันวาคม พุทธศักราช 2484 โดยมีการต่อสู้การรุกรานทุกแห่ง และทหารตำรวจ ประชาชนพลเมืองได้เสียชีวิตไปในการนี้เป็นอันมาก
เหตุการณ์อันปรากฏเป็นสักขีพยานนี้ ได้แสดงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า การประกาศสงครามเมื่อวันที่ 25 มกราคม พุทธศักราช 2485 ต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ตลอดทั้งการกระทำทั้งหลายซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อสหประชาชาตินั้น เป็นการกระทำอันผิดจากเจตจำนงของประชาชนชาวไทย และฝ่าฝืนขืนขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมืองประชาชนชาวไทย…ได้กระทำการทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือสหประชาชาติ ดังที่สหประชาชาติส่วนมากย่อมทราบอยู่แล้ว ทั้งนี้เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนชาวไทยอีกครั้งหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยต่อการประกาศสงคราม และการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสหประชาชาติดังกล่าวมาแล้ว
บัดนี้ ประเทศญี่ปุ่นได้ยอมปฏิบัติตามคำประกาศของสหรัฐอเมริกา บริเตนใหญ่ จีน และสหภาพโซเวียต…สันติภาพจึงกลับคืนมาสู่ประเทศไทย…
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอประกาศโดยเปิดเผยแทนประชาชนชาวไทยว่า การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ เป็นโมฆะ ไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย…”
เชื่อว่าสมาชิกเกือบทั้งหมดมิได้คาดคิดหรือทราบการประกาศสันติภาพนี้มาก่อน แต่เมื่อทราบก็ได้มีการลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ความเห็นชอบกับประกาศสันติภาพฉบับนี้ ที่น่าสังเกตมากก็คือประกาศสันติภาพฉบับนี้ ปรากฏว่าผู้รับสนองพระบรมราชโองการคือ นายทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรี มิใช่นายกรัฐมนตรี นายควง อภัยวงศ์ น่าจะเป็นความตั้งใจ เพราะอาจถือว่า นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ร่วมมือกับฝ่ายญี่ปุ่นก็เป็นได้ และอีก 4 วันต่อมานายควงก็ได้นำคณะรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง ถัดมาอีก 2 วันผู้สำเร็จราชการฯกับประธานสภาฯไปปรึกษาหารือกัน และมีความเห็นว่า ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าเสรีไทย ที่สหรัฐฯสมควรจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ท่านยังมีภารกิจที่จะเดินทางกลับมาทันทีไม่ได้ จึงให้นายทวี บุณยเกตุ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนายควง ไปก่อนจนกว่า ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จะกลับถึงไทย
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี