ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2487 ภายหลังจากการหารือกับประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายปรีดี พนมยงค์ แล้ว ประธานสภาฯพระยามานวราชเสวี จึงนำผลของการหารือมาประชุมเป็นการภายในกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมีความเห็นร่วมกันที่จะตั้งนายทวี บุณยเกตุ เป็นนายกรัฐมนตรีแทน นายควง อภัยวงศ์ ดังนั้นในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2487 นายทวี ได้รับการแต่งตั้ง เป็นนายกรัฐมนตรี อีกวันถัดมาได้มีการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นชุดที่น่าอยู่ชั่วคราวเพียงระยะเวลาที่สั้นมาก ตัวนายกฯเอง นอกจากเป็นนายกฯแล้วยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการถึง 4 กระทรวงคือกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงการสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือในรัฐบาลนี้มีผู้ที่ทำงานเสรีไทยที่เป็นตัวจักรสำคัญได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่อยู่หลายคน แต่ก็ยังมีรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนายควง อภัยวงศ์ มาร่วมในรัฐบาลชุดนายทวีอยู่หลายคนเหมือนกัน แสดงถึงความตั้งใจที่จะสืบสานงานกันต่อไป แต่ที่น่าสังเกตมาก คือไม่มีหลวงสินธุสงครามชัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลของนายควง มีชื่อเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้
แม้จะเป็นรัฐบาลชั่วคราว นายทวี นายกรัฐมนตรีได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2487 เพียงแต่ท่านได้แถลงอย่างสั้นๆ มีความสำคัญเน้นไปที่ การดำเนินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลว่า
“รัฐบาลนี้จะปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระบรมราชโองการประกาศสันติภาพที่ได้ประกาศไว้ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2488” และ “รัฐบาลนี้จะร่วมมือกับสหประชาชาติในทุกวิถีทางและจะพยายามส่งเสริมสัมพันธไมตรีให้ดียิ่งๆ ขึ้นและพร้อมที่จะร่วมมือกับสหประชาชาติในอันที่จะสถาปนาเสถียรภาพของโลก โดยยึดมั่นในอุดมคติซึ่งสหประชาชาติได้วางข้อตกลงไว้ ณ นครซานฟรานซิสโก”
จากนโยบาย จะเห็นได้ว่ารัฐบาลชุดนายทวี บุณยเกตุ เน้นเรื่องการประกาศสันติภาพของรัฐบาลไทยในวันที่ 16 สิงหาคม กับการแสดงเจตจำนงอย่างมั่นคงที่จะร่วมมือกับสหประชาชาติโดยยึดข้อตกลงของสหประชาชาติ ที่ได้มีการตกลงกัน ที่นครซานฟรานซิสโกของสหรัฐอเมริกา เพราะถ้าประเทศไทยได้รับการรับรองให้เข้าร่วมในข้อตกลงของสหประชาชาติที่นครซานฟรานซิสโก ย่อมแสดงว่าประเทศไทยยังคงเป็นเอกราชอยู่นั่นเอง ตรงนี้จึงเป็นเป้าหมายที่สำคัญยิ่งของรัฐบาลนายทวี บุณยเกตุ
ในการดำเนินการทางการเมืองภายใน รัฐบาลของนายทวี ก็ได้ดำเนินการที่แสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยกับการดำเนินงานของจอมพล ป.พิบูลสงครามในเรื่องการเปลี่ยนชื่อประเทศเพราะในสมัยจอมพล ป. มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ใช้ชื่อประเทศไทยว่า Thailand และชื่อประชาชนว่า Thai รัฐบาลนายทวีก็ให้กลับมาใช้คำว่า Siam เป็นชื่อประเทศ และ Siamese เป็นชื่อประชาชน
ส่วนอีกกรณีหนึ่งนั้น มีเป้าหมายอยู่ที่ตัวจอมพล ป.พิบูลสงครามเองเลย โดยในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2487 ได้มีประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกเลิกตำแหน่งที่ปรึกษาราชการแผ่นดินซึ่งจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นอยู่ ก็เท่ากับปลดจอมพล ป.ออกจากตำแหน่งทางการเมือง อันเป็นตำแหน่งเดียวที่ยังเหลืออยู่นั่นเอง แสดงว่าแม้จะเป็นรัฐบาลชั่วคราวแต่ก็กล้าแสดงความเข้มแข็งออกมา
อีกสี่วันต่อมา ในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2487 นายทวี บุณยเกตุ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เปิดทางให้หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าเสรีไทยสายอเมริกาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี นับว่าคนที่ 2 ของประเทศสยามที่ไม่ได้เป็นสมาชิกคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองฯ
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี