ย้ำว่า ประเทศชาติ กำลังอยู่ปากเหว...

คดีเกี่ยวกับนักการเมือง ที่ศาลกำลังจะมีคำตัดสิน คำวินิจฉัยชี้ขาด คำพิพากษา หรือคำสั่ง ภายในเดือนส.ค. ก.ย.นี้ จะเป็นจุดเปลี่ยน เปิดทางออกที่สำคัญให้กับประเทศชาติบ้านเมือง

1. คดีนายกฯ แพทองธาร ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงสนทนากับอังเคิล ฮุนเซน

วันนี้ 4 ส.ค. เป็นวันสุดท้าย เส้นตายที่ศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาอนุญาตให้แพทองธารส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา หากไม่ยื่นให้ถือว่าสละสิทธ์ิ ศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป

อย่าลืมว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยขยายเวลาให้ 15 วันไปรอบหนึ่งแล้ว

ประเมินว่า นับจากวันนี้ไป ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะวินิจฉัยชี้ขาดได้ภายในไม่เกิน 20 ส.ค.

กรณีเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ศาลสั่งแพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯไปก่อนหน้านี้ ย่อมต้องเร่งดำเนินการชี้ขาดโดยไว เพื่อมิให้เสียเวลาเสียโอกาสประเทศชาติต่อไปอีกช้านาน

หลักฐานสำคัญในคดี คือ คลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งฝั่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่า เป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จฮุนเซน จริง

แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัว โดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวล แต่ผู้ถูกร้องเป็นนายกฯของประเทศไทย แสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบ เจรจา หรือกำหนดมาตรการ ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะวิสัยและพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกร้องก็บอกกับฮุนเซนว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับเรา ส่อแสดงว่าผู้ถูกร้องไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

จับตา หลังวันที่ 4 ส.ค. หากฝ่ายทักษิณสรุปบทเรียนจากในอดีต นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ก็อาจจะชิงลาออกก่อนจะถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยชี้ขาด หรือไม่

เพื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะได้ไม่มีเหตุให้ต้องวินิจฉัย เพราะพ้นตำแหน่งไปแล้ว

หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด จะมีผลเสมือนหนึ่งประหารชีวิตทางการเมือง และคำวินิจฉัยชี้ขาด มีผลผูกพันทุกองค์กรหน่วยงาน ยังเป็นเชื้อไฟลามอาจไปถึงพรรคเพื่อไทยด้วย กรณีแพทองธาร มีสถานะตามกฎหมายเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (ต่างจากกรณีนายกฯ เศรษฐา)

คดีนี้ ประเมินว่า มีโอกาสรอดไม่ถึง 5% เพราะเป็นคดีฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม เป็นเรื่องการกระทำ การพูด ที่ไม่สมควรแก่ตำแหน่งหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่คดีอาญาที่จะต้องไปพิสูจน์เจตนาเล็งเห็นผล หรือเกิดความเสียหายตามที่พูดแล้วแค่ไหนหรือไม่

2. คดีอดีตนายกฯทักษิณ มาตรา 112

ศาลอาญา นัดอ่านคำพิพากษา คดีมาตรา 112 นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลย ในวันที่ 22 ส.ค.นี้

คดีนี้ ทักษิณถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 กรณีให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้พาดพิงสถาบันฯ

นายทักษิณแสดงความมั่นใจว่าจะไม่มีความผิด โดยไปรับฟังการพิจารณาคดีด้วยตนเองทุกนัด

หากศาลอาญาพิพากษาว่ามีความผิด นายทักษิณก็คงยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อไป คาดว่าการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์และฎีกา อาจใช้ระยะเวลา 2–3 ปี กว่าคดีจะถึงที่สุด

หากศาลยกฟ้อง นายทักษิณไม่ผิด นายทักษิณก็อาจพ้นเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราว ที่ถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ (ศาลไม่อนุญาตที่ขอออกนอกประเทศหลายครั้งในระยะหลัง) หรือไม่

คดีนี้ ประเมินว่า มีโอกาส 50-50 เพราะถ้าไม่มีมูลเลย อัยการสูงสุดคงจะไม่สั่งฟ้อง

น่าสนใจต่อไปว่า... หากนายทักษิณตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศไปจริงๆ นายทักษิณจะเดินทางกลับมาฟังคำสั่งในคดีชั้น 14 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัด 9 ก.ย. หรือไม่?

3. คดีอดีตนายกฯ ทักษิณ ป่วยทิพย์ชั้น 14 บังคับโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลฎีกาฯ

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไต่สวนคดีติดคุกทิพย์ คดีหมายเลขดำ บค.1/2568 กรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุดนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ 

การไต่สวนนัดสุดท้ายจบเสร็จแล้ว (นัดที่ 7) ศาลฯนัดฟังคำสั่งวันที่ 9 ก.ย. เวลา 10 นาฬิกา

มีคำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย เข้าฟังด้วย

น่าสังเกตว่า ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไม่ใช่คู่ความในคดี แต่เป็นผู้บริหารหน่วยงานที่มีหน้าที่บังคับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล

ส่วนนายทักษิณ จำเลย ที่ผ่านมา ไม่ได้เดินทางมาศาลด้วยตนเองในนัดไต่สวน แต่ปรากฏว่า ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งให้เดินทางมาฟังคำสั่งด้วยตนเองในวันที่ 9 ก.ย.นี้

หากนายทักษิณไม่มาศาลในวันดังกล่าว ศาลฯก็มีอำนาจอ่านคำสั่งลับหลังก็ได้

หากศาลฎีกาฯ เห็นว่าการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ (ที่เรือนจำส่งให้ไปอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจต่อเนื่องยาวนานไม่ต้องกลับเข้าเรือนจำเลยนั้น) ถูกต้องครบถ้วน ไม่เป็นปัญหาตามข้อสงสัย ก็อาจจะยกคำร้อง

หากศาลเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นไปตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาล ก็จะต้องมีคำสั่งนำตัวนายทักษิณกลับเข้าคุกเพื่อรับโทษให้ครบถ้วนถูกต้องตามคำพิพากษาเดิม

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีอำนาจออกหมายศาล เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป

น่าคิดว่า อดีตนายกฯทักษิณอาจถูกบังคับคดี กลับเข้าคุก 8 ปี หรือ 1 ปี? หรือนานเท่าใด?

แน่นอน จะมีผลกระทบต่อกลุ่มผู้ที่ให้คำพยานเท็จ และเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ช่วยเหลือนักโทษ ที่กำลังถูกไต่สวนที่ ป.ป.ช.ต่อไปด้วย

น่าสนใจว่า นายทักษิณ ชินวัตร จะมาฟังคำสั่งศาลด้วยตนเอง ในวันที่ 9 ก.ย. หรือไม่?

คดีนี้ ประเมินว่า ทักษิณไม่ป่วยวิกฤต แต่อาการทางคดีน่าจะวิกฤต

น่าจะมีโอกาสจะต้องกลับเข้าคุก เกิน 60%

4. คดีรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 (นายพิเชษฐ์) ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144

ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดแล้ว กรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และสส.เชียงราย เขต 7 พรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้อง) ให้พ้นจากการเป็นสส. และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี

ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ผู้ถูกร้องมีเจตนานำงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินไปสร้างคะแนนนิยมในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง อันจะทำให้พรรคการเมืองของผู้ถูกร้องจะได้รับคะแนนนิยมในครั้งต่อไป ผู้ถูกร้องจึงเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ สั่งให้ผู้ถูกร้องสิ้นสุดสภาพ สส. ตั้งแต่ 1 ส.ค. 2568 เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน

เนื่องจากมีการเสนอการแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง

จับตา... คดีฝ่าฝืนมาตรา 144 เพื่อนำงบประมาณไปแจกเงินหมื่น ขณะนี้ยังอยู่ในชั้น ป.ป.ช. แม้มีรายละเอียดแตกต่างกัน แต่ข้อกล่าวหาคือฝ่าฝืนมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ จะมีผลอย่างไร

5. เปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนสถานการณ์ประเทศไทย

หากนายกฯแพทองธารพ้นตำแหน่งไป ก็จะต้องมีการเลือกนายกฯใหม่ตามรัฐธรรมนูญ ฟอร์มรัฐบาลใหม่ วางนโยบายรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดินที่สอดรับกับสถานการณ์วิกฤต

ภัยคุกคามความมั่นคงจากกัมพูชา... ทหารทำได้ดีแล้ว ต้องการรัฐบาลที่ทำให้กองทัพทำหน้าที่แนวหน้าได้ โดยไม่ต้องระแวงข้างหลัง ขณะนี้ อยู่ระหว่างการหยุดยิง แต่ความตึงเครียดยังเขม็งเกลียว ฝ่ายฮุนเซนยังเดินหน้าต่อแถมแบล็กเมล์ทักษิณและลูกได้อีก จะมีอะไรซุกซ่อนหมกเม็ดกันไว้อีกหรือไม่?

ภูมิรัฐศาสตร์โลก... เราจะรับมือกับการพยายามเข้าแทรกแซงภูมิภาคอินโดจีนของชาติมหาอำนาจอย่างไร?

สงครามเศรษฐกิจ... เราจะจัดการกับภาษีโต้ตอบของสหรัฐ 19% อย่างไร? จะช่วยบรรเทาผลกระทบ ลดแรงกระแทก สำหรับตนไทยในภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรม-เอสเอ็มอีที่จะได้รับผลกระทบอย่างไร? จะเพิ่มความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในของเราอย่างไร? เกษตรกรรายได้หดหาย พ่อค้าแม่ขายรายย่อยยอดขายตกต่ำ

นักท่องเที่ยวต่างชาติถดถอย การลงทุนจริงๆ ของเอกชนชะงักงัน (มีแต่ยอด BOI)

ภาระหนี้รัฐบาลพุ่งกระฉูดใกล้ชนเพดาน ยาเสพติดเกลื่อนเมือง ฯลฯ

รัฐบาลปัจจุบันไม่มีเสถียรภาพ ไม่มีประสิทธิภาพ จัดสรรเก้าอี้รมต.เหมือนเป็นสมบัติส่วนตัวนักการเมือง

ประเทศไทย จะมีรัฐบาลที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน กองทัพ ภาคธุรกิจ และต่างชาติได้อย่างไร?

ผมเคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ว่า “...การเมืองไม่ใช่การห้ำหั่นกันจนตายตกไปตามกัน ผลักประเทศชาติตกลงสู่หุบเหว ในภาวะวิกฤตระดับโลก แต่คือการหาทางออกจากสถานการณ์เลวร้ายที่สุด เพื่อได้หนทางที่ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัด คงไม่มีใครได้อะไรเต็มร้อย แต่สำคัญ คือ ต้องรักษาประเทศชาติให้รอดจากปากเหววิกฤตขณะนี้ให้ได้..”

ขอย้ำอีกครั้งว่า... เปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนสถานการณ์ประเทศไทย !!!

เป็นโอกาสพลิกผัน จากวิกฤตเป็นโอกาส

เร็วที่สุด ดีที่สุด เพื่อประเทศชาติส่วนรวมครับ

สันติสุข มะโรงศรี