สัปดาห์นี้ น่าจะได้เห็นทิศทางของประเทศชาติ ว่าจะปลดล็อก เปิดทางจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่มีเสถียรภาพ มีประสิทธิภาพ มีนโยบายที่ตอบโจทย์เท่าทันสถานการณ์ปัญหาเศรษฐกิจความมั่นคง ทั้งภายในและนอกประเทศ
ที่สำคัญ มีผู้นำรัฐบาลที่มีบารมี มีความรู้ความสามารถ มีศักยภาพแก้ปัญหาวิกฤตศรัทธาและความไว้วางใจของประชาชนได้หรือไม่ อย่างไร?
คดีของนักการเมืองที่ศาลนัดพิพากษา มีคำสั่ง หรือคำวินิจฉัยชี้ขาด จะเป็นตัวแปรสำคัญ
1. ยกฟ้องทักษิณ คดี 112
เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง คดีมาตรา 112 นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลย
คดีดังกล่าว ศาลอาญายกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
แม้ว่า “...พยานหลักฐานโจทก์ จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยให้สัมภาษณ์นักข่าวที่สาธารณรัฐเกาหลี ตามคลิปวีดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้อง ไม่ได้เป็นการตัดต่อหรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความให้ร้ายจำเลย...”
แต่เนื่องจากพยานโจทก์ และหลักฐานที่โจทก์นำมาแสดง ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ คลิปวีดีโอของกลางไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นต้นฉบับ ทั้งไม่สามารถสืบหาบุคคลที่นำคลิปลงเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์ ฯลฯ พยานหลักฐานทั้งหมดที่โจทก์นำสืบมา จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยกล่าวข้อความตามคำฟ้องโดยเจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
ศาลอาญาถึงขนาดระบุว่า “..การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมา จึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามฟ้อง
สำหรับข้อหาร่วมกันแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง แต่มิได้นำพยานหลักฐานใดๆ มานำสืบเกี่ยวกับข้อหานี้เลย จึงรับฟังไม่ได้…”
จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมศาลถึงยกฟ้องคดีนี้…
น่าสนใจว่า... หากนายทักษิณสามารถเดินทางออกนอกประเทศไปหลังจากนี้ นายทักษิณจะเดินทางกลับมาฟังคำสั่งในคดีชั้น 14 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัด 9 ก.ย. หรือไม่?
2. คดีอดีตนายกฯ ทักษิณ ป่วยทิพย์ชั้น 14 บังคับโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลฎีกาฯ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไต่สวนคดีติดคุกทิพย์ คดีหมายเลขดำ บค.1/2568 กรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ
ศาลฯ นัดฟังคำสั่งวันที่ 9 ก.ย.เวลา 10 นาฬิกา
มีคำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย เข้าฟังด้วย
น่าสังเกตว่า ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่คู่ความในคดี แต่เป็นผู้บริหารหน่วยงานที่มีหน้าที่บังคับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล
ส่วนนายทักษิณ จำเลย ที่ผ่านมา ไม่ได้เดินทางมาศาลด้วยตนเองในนัดไต่สวน แต่ปรากฏว่า ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งให้เดินทางมาฟังคำสั่งด้วยตนเองในวันที่ 9 ก.ย.นี้
หากนายทักษิณไม่มาศาลในวันดังกล่าว ศาลฯก็มีอำนาจอ่านคำสั่งลับหลังก็ได้
หากศาลฎีกาฯ เห็นว่าการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ (ที่เรือนจำส่งให้ไปอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจต่อเนื่องยาวนาน ไม่ต้องกลับเข้าเรือนจำเลยนั้น) ถูกต้องครบถ้วน ไม่เป็นปัญหาตามข้อสงสัย ก็อาจจะยกคำร้อง
หากศาลเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นไปตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาล ก็จะต้องมีคำสั่งนำตัวนายทักษิณกลับเข้าคุก เพื่อรับโทษให้ครบถ้วนถูกต้องตามคำพิพากษาเดิม
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีอำนาจออกหมายศาล เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
น่าคิดว่า อดีตนายกฯทักษิณอาจถูกบังคับคดี กลับเข้าคุก 8 ปี หรือ 1 ปี? หรือนานเท่าใด?
อดีตนายกฯ ทักษิณ จะมาฟังคำสั่งศาลด้วยตนเอง ในวันที่ 9 ก.ย. หรือไม่?
3. คดีนายกฯ แพทองธาร ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงสนทนากับอังเคิลฮุนเซน
หลักฐานสำคัญในคดี คือ คลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งฝั่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่า เป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จฮุนเซน จริง
นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ชี้แจงว่า ตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด เจตนาดีต่อประเทศชาติ คำพูดที่เป็นประเด็นนั้น ก็เป็นการใช้เทคนิคเจรจา ฯลฯ
คำชี้แจงข้างต้น หักล้างข้อกล่าวหา รับฟังได้แค่ไหน หรือขัดแย้งกับความเป็นจริงอย่างไร?
แม้ประเทศไทยจะยังไม่สูญเสียดินแดน หรือยังไม่ได้ลงมือเอื้อประโยชน์ตามที่อังเคิลต้องการ ฯลฯ แต่คดีนี้ เป็นคดีฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม เป็นเรื่องการกระทำ การพูด ที่ไม่สมควรแก่ตำแหน่งหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่คดีอาญาที่จะต้องไปพิสูจน์เจตนาเล็งเห็นผล หรือเกิดความเสียหายตามที่พูดแล้วแค่ไหนหรือไม่
การพูดให้เกิดความเสื่อมเกียรติต่อตำแหน่งนายกฯออดอ้อนคุยกับผู้นำชาติคู่ปรปักษ์ว่าอยากได้อะไรก็บอกมาจะจัดให้ แถมด้อยค่าแม่ทัพนายทหารไทยต่อศัตรูผู้คุกคามอธิปไตยของชาติ มันคือความไม่เหมาะสมอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะพูดเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ในหรือนอกเวลาราชการ มันคือความความไม่เหมาะสมร้ายแรง และอาจผิดจริยธรรมร้ายแรง เสื่อมเสียเกียรติภูมิของชาติแล้ว
ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยชี้ขาด ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568
กรณีนี้ แพทองธารมีโอกาสสูงมากที่จะต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ (แต่ยังสามารถต่อสู้ในคดีอาญา ว่าไม่มีเจตนา ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายตามคำพูดได้)
สถานการณ์ถึงปัจจุบัน ประเมินว่า นายกฯอุ๊งอิ๊งค์มีโอกาสรอดไม่ถึง 5%
นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ยังไม่มีท่าทีว่าจะลาออกก่อนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจจะได้ไม่มีเหตุให้ต้องวินิจฉัย เพราะพ้นตำแหน่งไปแล้ว
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด ก็จะมีผลเสมือนหนึ่งประหารชีวิตทางการเมือง และคำวินิจฉัยชี้ขาด มีผลผูกพันทุกองค์กรหน่วยงาน อาจเป็นเชื้อไฟลามไปถึงพรรคเพื่อไทยด้วยกรณีแพทองธาร มีสถานะตามกฎหมายเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (ต่างจากกรณีนายกฯ เศรษฐา)
4. ปลดล็อกประเทศ เปิดทางจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
หากนายกฯอุ๊งอิ๊งค์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ไม่ว่าจะด้วยลาออก หรือศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง
ประเทศก็จะได้ปลดล็อก เดินหน้าเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ผ่านกลไกลในสภา ตามกติการัฐธรรมนูญ
ช่วงที่ผ่านมา... จะเห็นความไร้เสถียรภาพของสส.ฝ่ายรัฐบาลในสภา จนต้องปิดการประชุมหนีสภาล่มทุกครั้ง สภาพเช่นนี้ไม่สามารถผลักดันการแก้ปัญหาบ้านเมืองผ่านกลไกสภาได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน
นโยบายที่รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์แถลงไว้ต่อรัฐสภาก็ล่าช้า ไม่ทันการณ์ไม่ตอบโจทย์สถานการณ์วิกฤตร้ายแรงในปัจจุบัน ทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ผลสำรวจ นิดาโพลล่าสุด ชี้ชัดว่า ประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาลในการแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา
แต่ไว้วางใจทหารมากกว่า แตกต่างลิบลับ
ผลสำรวจ “นิด้าโพล” ก่อนหน้านี้ ยังชี้ชัดด้วยว่าร้อยละ 42.37 ระบุว่า นายกฯ แพทองธาร ควรประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อหานายกฯ คนใหม่
รองลงมา ร้อยละ 39.92 ระบุว่า นายกฯแพทองธารควรยุบสภา
มีแค่ร้อยละ 15.04 ระบุว่า นายกฯแพทองธาร ควรบริหารประเทศต่อไปเหมือนเดิม
ร้อยละ 1.37 ระบุว่า เรียกร้องให้มีการรัฐประหาร
หากนายกฯอุ๊งอิ๊งค์พ้นจากตำแหน่งนายกฯ สภาผู้แทนราษฎรต้องดำเนินการเลือกนายกฯใหม่จากรายชื่อบุคคลบัญชีพรรคการเมือง สิ่งที่จะต้องจับตามอง ดังนี้
4.1 คุณทักษิณและพรรคเพื่อไทย ต้องการให้คุณชัยเกษมเป็นนายกฯ
คงต้องพยายามบีบพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ให้การสนับสนุน
หรือ พิจารณาจับมือกับพรรคส้ม แต่พรรคส้มมีเงื่อนไขให้ยุบสภา ซึ่งพรรคเพื่อไทยกับพรรคส้มคือคู่แข่งการเมืองโดยตรงในหลายพื้นที่ ถ้าไปเลือกตั้งเร็ว เพื่อไทยอาจเสียเปรียบ ถูกพรรคส้มขี่คอ ส้มจะกินแดง เพื่อไทยไม่อยากยุบสภา อยากเป็นรัฐบาลเพื่อบริหารสร้างผลงานให้ดีกว่านี้ก่อน เป็นไปได้น้อย
4.2 พรรคภูมิใจไทย ผลักดันชื่อ “อนุทิน” เป็นนายกฯ แข่งตามกติกา ใครรวบรวมเสียง สส. มากกว่าชนะ
ภท. อาจตกลงกับพรรคส้ม ที่จะเทเสียงโหวตให้ ไม่เอาเก้าอี้ รมต. แต่ต้องแก้รัฐธรรมนูญ ฯลฯ แล้วยุบสภาภายในสิ้นปีนี้ เพื่อไปเลือกตั้งใหม่
ภูมิใจไทย 69 เสียง + พรรคส้ม 143 เสียง ยังไม่ชนะฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน
แต่ถ้ามีพรรคร่วมรัฐบาลหรืองูเห่า หันมาสนับสนุน ก็จะได้เสียงข้างมากทันที เพื่อไทยจะกลายเป็นฝ่ายค้าน
4.3 พรรคร่วมรัฐบาล เช่น รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา ฯลฯ มีอำนาจต่อรองสูงมาก
ถ้ามีบางพรรคในพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน เห็นว่า ชัยเกษมไม่เหมาะที่จะเป็นนายกฯ
อาจยื่นข้อเสนอต่อรองกับพรรคเพื่อไทย เพื่อให้มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพกว่าเดิม มีผู้นำที่ไม่มีเงื่อนไขความขัดแย้งข้อครหาติดตัว ขอให้ร่วมกันสนับสนุนนายกฯจากพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ใช่คนของพรรคเพื่อไทย (แต่เพื่อไทยยังมีบทบาทสำคัญในรัฐบาลอยู่)
มิฉะนั้น พรรคร่วมอาจถอนตัวไปสนับสนุน ภท. + พรรคส้ม + ยอมเป็นรัฐบาลตามเงื่อนไขเดินไปสู่การยุบสภา ส่วนเพื่อไทยก็จะกลายเป็นฝ่ายค้าน
4.4 ทักษิณและพรรคเพื่อไทยเก๋าเกมการเมือง รู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายค้านไม่ได้เด็ดขาด
มีโอกาสแสดงบทบาทประนีประนอมทางการเมืองกับพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ประนอมอำนาจ ยอมรับนายกฯที่ทุกฝ่ายยอมรับ มีนโยบายที่ตอบโจทย์ของประเทศในขณะนี้ มีจำนวนเสียงสส.ที่มีเสถียรภาพ อาจจำยอมดึง ภท. เข้าร่วมรัฐบาล สร้างบรรยากาศความร่วมมือกันทำงาน กลับไปเริ่มต้นกันใหม่
ภท. น่าจะยอมรับ ถ้านายกฯไม่ใช่คนของชินวัตร
คุณทักษิณจะประกาศผ่านสื่อก่อนหน้านี้ว่า ไม่ปิดทางกลับมาจับมือร่วมงานกับภูมิใจไทย ถึงขนาดบอกว่า ถ้าจำเป็นต้องกลืนเลือดอีกหลายปี๊บก็ต้องทำ
ข้อดี คือ รัฐบาลมีอำนาจเต็ม กำหนดนโยบายใหม่ตอบโจทย์วิกฤตในปัจจุบัน เร่งสร้างผลงาน ไม่มีเงื่อนไขกำหนดยุบสภา (แต่อยู่ได้ตามวาระ เหลือเวลาไม่ถึง 2 ปี)
4.5 ใครจะเป็นนายกฯ ?
ผลสำรวจนิด้าโพล “การเมืองไทย ไปต่อแบบไหนดี” ในกรณีที่นายกฯแพทองธารพ้นจากตำแหน่ง บุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกฯคนต่อไป ตามรายชื่อผู้มีสิทธิ์เป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญ?
พบว่า อันดับหนึ่ง ร้อยละ 32.82 สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (องคมนตรี -แต่เป็นแคนดิเดตจากพรรครวมไทยสร้างชาติ)
ร้อยละ 11.53 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย)
สูงกว่านายชัยเกษม นิติสิริ (พรรคเพื่อไทย) และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ)
จะเห็นว่า กระแสการยอมรับในตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (ลุงตู่) สูงที่สุด มีศักยภาพ มีบารมี ประสบการณ์สูงตอบโจทย์ประเทศไทยในขณะนี้ (แต่จะต้องพ้นจากองคมนตรีก่อน)
ในทางการเมือง ลุงตู่ไม่ใช่คู่แข่งการเมืองของพรรคอื่นๆ ในการเลือกตั้งสมัยหน้า พรรคร่วมรัฐบาลล้วนยอมรับ สทร.ต้องเกรงใจ (ยิ่งหากคดีชั้น 14 คดีศาลรัฐธรรมนูญของอุ๊งอิ๊งค์ ไม่เป็นใจ สถานการณ์ในอนาคตก็จะบีบให้พรรคเพื่อไทยขาดเสาหลัก สส.อาจแตกรัง)
หนทางนี้ รัฐบาลใหม่ไม่มีข้อจำกัดว่าต้องยุบสภาปลายปี สามารถเดินหน้าทำงาน ถอดสลักระเบิด แก้วิกฤต ฟื้นเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้าน ดับไฟปัญหาความมั่นคง ฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชน พาประเทศออกจากปากเหว ไม่นิรโทษ 112 + คดีทุจริต เมื่อหมดสมัยก็ไปเลือกตั้ง พรรคการเมืองทุกพรรคก็แข่งขันต่อไป (อาจจะเหลือไม่กี่พรรค)
ถ้าไม่ใช่คนนี้ จะเป็นคนไหน ถ้าไม่ใช่เวลานี้ จะเป็นเมื่อไหร่
ทางเลือกนี้ จึงมีโอกาสเป็นไปได้
การเมืองไม่ใช่การห้ำหั่นกันจนตายตกไปตามกัน ผลักประเทศชาติตกลงสู่หุบเหว ในภาวะวิกฤตระดับโลก แต่คือการหาทางออกจากสถานการณ์เลวร้ายที่สุด เพื่อได้หนทางที่ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัด คงไม่มีใครได้อะไรเต็มร้อย แต่สำคัญ คือ ต้องรักษาประเทศชาติให้รอดจากปากเหววิกฤตขณะนี้ให้ได้
ทางรอด คือ ปลดล็อกประเทศ เปิดทางจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็ว
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี