เครื่องบินรบของกองทัพอากาศไทย มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของกองทัพบกบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างยิ่ง
จนถึงขนาดฮุนเซนออกมาดิ้นพราดๆ เหมือน...โดนน้ำร้อนราด
แถมล่าสุด ครม.ยังไฟเขียวให้กองทัพอากาศเดินหน้าจัดซื้อเครื่องบินรบกริพเพน เพิ่มเติมอีกด้วย
1. น่าเวทนา... “สมเด็จฮุนเซน” อดีตนายกฯกัมพูชา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรียกร้องว่า หากในอนาคตเกิดความขัดแย้งหรือการสู้รบระหว่างไทย–กัมพูชาอีกครั้ง ขอให้ประเทศไทยงดใช้เครื่องบินรบ F-16 กริพเพน ในการโจมตี โดยขอให้ประเทศผู้ขาย มีมาตรการควบคุมการใช้งานอย่างเข้มงวด ไม่โจมตีประเทศเพื่อนบ้าน
เท่ากับว่า ฮุนเซนไม่ได้สำนึกอะไรเลยว่า ตนเองเป็นฝ่ายใช้อาวุธระยะไกล ยิงเข้าใส่พื้นที่พลเรือน สังหารประชาชนคนไทย เด็ก ผู้หญิง คนชรา ทำให้ฝ่ายไทยมีความชอบธรรมที่จะตอบโต้ ยับยั้ง และทำลายเป้าหมายทางการทหารของกัมพูชา เพื่อปกป้องคุ้มครองประเทศไทย ด้วยศักยภาพกำลังรบที่ประเทศไทยมี
ความจริง ฮุนเซนควรสำเหนียก อย่าได้มาหาเรื่องเล่นงานประเทศที่มีกำลังรบเหนือกว่าตนอีก ถ้าไม่อยากถูกโจมตีด้วยเครื่องบินรบ ก็อย่าได้มาหาเรื่องประเทศที่เขามีเครื่องบินรบ
2. กองทัพอากาศไทยได้ชี้แจงชัดเจนว่า ระหว่างวันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568 ได้ปฏิบัติภารกิจสนับสนุนกองทัพบกอย่างต่อเนื่อง ในสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดนไทย - กัมพูชา เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ลดความเสี่ยงต่อพลเรือน และสร้างเงื่อนไขเชิงยุทธศาสตร์ที่เอื้อต่อการเจรจาสันติภาพ
พลอากาศโท ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า ภายใต้แผนยุทธการร่วม กองทัพอากาศได้จัดกำลังทางอากาศจากฝูงบิน F-16 และ Gripen เข้าสนับสนุนภารกิจภาคพื้น ในลักษณะการโจมตีเป้าหมายทางทหารที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของไทยอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการทำลายคลังอาวุธ และศูนย์ควบคุมการรบของฝ่ายตรงข้าม พร้อมปฏิบัติการทั้งกลางวันและกลางคืน โดยประเมินผลด้วยระบบข่าวกรองและเทคโนโลยีที่ทันสมัย
การใช้กำลังทางอากาศของไทยดำเนินไปอย่างถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยอาศัยสิทธิในการป้องกันตนเองตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ และยึดหลักความได้สัดส่วน ความจำเป็น และการแยกแยะเป้าหมายทางทหารจากพลเรือนอย่างชัดเจน
ภารกิจในครั้งนี้ เกิดจากการเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ ทั้งด้านการฝึก การบูรณาการระบบบัญชาการและควบคุมร่วม และการเชื่อมโยงข้อมูลกับศูนย์ปฏิบัติการกองทัพอากาศ เพื่อให้เกิดความแม่นยำในการตัดสินใจและลดความสูญเสีย
3. “……การสนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิดเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะทหารบกจะปฏิบัติภารกิจสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับกำลังทางอากาศเป็นสำคัญ……”
นี่คือพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานให้ไว้กับกองทัพอากาศ (หนังสือ ๕๐ ปีที่ระลึกกองทัพอากาศในปี ๒๕๑๘)
4. บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ Gripen ในสมรภูมิไทย–กัมพูชา: เมื่อการใช้กำลังทางอากาศอย่างยับยั้งชั่งใจ สะเทือนไปถึงระเบียงการเมืองยุโรป
โดย น.อ.รัตนสุทธิ สุทธิแย้ม เผยแพร่ในเพจ นภาธิปัตย์ บางตอนระบุว่า
“...ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา นอกจากจะนำไปสู่การตอบโต้ทางทหารของไทยแล้ว ยังกลายเป็นเวทีปฏิบัติการจริงครั้งแรกของ JAS-39 Gripen เครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงที่จัดหาโดยกองทัพอากาศไทยจากสวีเดน นับเป็นพัฒนาการสำคัญในมิติยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของไทย
แต่ขณะเดียวกัน กลับก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในระดับระหว่างประเทศ โดยเฉพาะต่อรัฐบาลสวีเดน ผู้ผลิตอาวุธที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากภาคประชาสังคมและกลุ่มสิทธิมนุษยชนในยุโรป
ความระมัดระวังของกองทัพอากาศไทย: พฤติกรรมการใช้กำลังตามหลักมนุษยธรรม
แม้การใช้กำลังทางอากาศจะถูกวิจารณ์จากบางภาคส่วนในต่างประเทศ แต่ข้อเท็จจริงสำคัญ คือ กองทัพอากาศไทยได้ปฏิบัติการอย่างมีความยับยั้งชั่งใจ โดยคำนึงถึงหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ทั้งในด้านการเลือกเป้าหมาย การใช้กำลังแบบพอเหมาะพอควร (Proportionality) และการลดผลกระทบต่อพลเรือนให้น้อยที่สุด
การโจมตีทางอากาศของกองทัพอากาศไทยถูกออกแบบอย่างจำกัด (Limited Precision Strikes) และดำเนินการเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหารที่ชัดเจน เช่น ที่ตั้งทางยุทธวิธีของฝ่ายตรงข้ามที่เป็นต้นเหตุของการโจมตีพลเรือนไทยซ้ำซาก การเลือกใช้อากาศยาน Gripen ซึ่งมีระบบตรวจจับและชี้เป้าหมายด้วยความแม่นยำสูง ยังสะท้อนถึงความพยายามในการลดความเสียหายพลอยได้ (Collateral Damage) ตามมาตรา 51 ของ Additional Protocol I แห่งอนุสัญญาเจนีวา
Gripen กับแนวคิด “Coercive Air Power” : พลังบังคับที่แม่นยำและจำกัด
การใช้อำนาจทางอากาศของไทยในครั้งนี้ สามารถตีความได้ในกรอบของ “Coercive Air Power” โดยเฉพาะแนวทาง “Denial Strategy” ที่มุ่งทำลายศักยภาพของฝ่ายตรงข้ามในการดำเนินยุทธการเพิ่มเติม โดยไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจแบบทำลายล้าง
ตามหลักทฤษฎีของ Pape (1996) การบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองผ่านอากาศยานโจมตีที่เลือกเป้าหมายอย่างรัดกุม จะช่วยหลีกเลี่ยงการทำให้สถานการณ์ลุกลามเกินควบคุม และยังสร้าง “ต้นทุนทางจิตวิทยา” แก่อีกฝ่าย ซึ่งตรงกับพฤติกรรมของไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน…
บทสรุป: ปฏิบัติการ Gripen ไทยคือแบบจำลองของ “Air Power with Restraint”
การนำ Gripen เข้าสู่สนามรบจริงของกองทัพอากาศไทยไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าเชิงยุทโธปกรณ์ แต่ยังเป็นกรณีศึกษาสำคัญของการใช้อำนาจทางทหารอย่างยับยั้งชั่งใจ (Restrained Use of Force) ตามหลักสากล
ภายใต้สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการลุกลาม การปฏิบัติการของไทยซึ่งจำกัดเป้าหมายอย่างเคร่งครัดและดำเนินการด้วยความรับผิดชอบตาม IHL จึงควรได้รับการรับรู้ในเชิงบวก มากกว่าการตกเป็นเหยื่อของการตีความด้านเดียวโดยไม่พิจารณาข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์และกฎหมาย”
5. ไม่ใช่ว่าซื้อวันนี้ จะได้ใช้พรุ่งนี้
ล่าสุด มีรายงานข่าวว่า ครม.อุ๊งอิ๊งค์อนุมัติให้กองทัพอากาศไทย(RTAF) จัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีหลากบทบาทแบบ “Saab JAS 39 Gripen E/F” แฟสแรก จำนวน 4 เครื่อง วงเงิน 19,500 ล้านบาท
ความจริง การจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีกริพเพนเพิ่มเติม ไม่ได้เพิ่งมีแบบเร่งด่วนฉับพลัน
แต่เป็นการตัดสินใจวางแผน และดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน มาก่อนหน้านี้แล้ว
ตั้งแต่สมัยรัฐบาลลุงตู่ ตอนนั้นฝ่ายค้านและการเมืองหัวส้มพยายามขัดขวางด้อยค่าสารพัด
ต้องยอมรับว่า เริ่มแรกทีเดียว กองทัพอากาศก็แสดงความต้องการเครื่อง F35 ของสหรัฐ แต่ราคาแพง ต้นทุนสูง และสหรัฐมีเงื่อนไขมากมาย สุดท้าย การตัดสินใจจึงเลือกกริพเพน
ดังปรากฏว่า ก่อนหน้านี้ กองทัพอากาศเคยแถลงข่าวความพร้อมในการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีแบบ Gripen E/F ระยะที่ 1 จำนวน 4 เครื่อง มูลค่า 19,500 ล้านบาท
พลอากาศโทประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า “โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการจัดหาเครื่องบิน แต่คือการลงทุนในความมั่นคงของประเทศและความสามารถในการป้องกันอธิปไตยทางอากาศในระยะยาว เครื่องบิน Gripen E/F มีสมรรถนะล้ำสมัย ระบบเรดาร์ AESA ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ และจรวด BVR แบบ Meteor ซึ่งเป็นระบบที่ตอบโจทย์การรบในอนาคต”
เหตุผลหลักของการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีรุ่นใหม่ คือ เพื่อทดแทน F-16 ที่ประจำการมากว่า 37 ปี ซึ่งจะทยอยปลดประจำการในช่วงปี 2571–2578 หากไม่ดำเนินการ จะกระทบต่อความพร้อมในการป้องกันประเทศ
กองทัพอากาศได้ดำเนินการตามกระบวนการที่เข้มงวด โปร่งใส และรอบคอบ โดยมีการตั้งคณะกรรมการจากหลายฝ่าย เพื่อพิจารณาความเหมาะสมทั้งด้านขีดความสามารถ ความคุ้มค่า และราคาประกอบกัน ซึ่งผลการพิจารณาสรุปว่า เครื่องบิน Gripen E/F เป็นแบบที่ตรงตามความต้องการของกองทัพอากาศมากที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ (Defence Offset) รวมมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท หรือ 154.6% ของมูลค่าโครงการ เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยี Tactical Data Link (Link-T), การพัฒนาบุคลากรและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในประเทศ รวมถึงความร่วมมือด้านการศึกษาและวิจัยกับสวีเดน
คาดว่า กองทัพอากาศจะลงนามในสัญญาร่วมกับรัฐบาลสวีเดน ภายในเดือนสิงหาคม 2568 และจะมีการฝึกอบรมบุคลากรทั้งนักบินและช่างเทคนิคควบคู่กันไป เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ทันที เมื่อเครื่องบิน Gripen E/F เข้าประจำการ
6. ศักยภาพกองทัพอากาศไทย
เพจ Military Weapons อาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร ได้ประมวลข้อมูลน่าสนใจ สรุปว่า
กองทัพอากาศไทย เป็นกองทัพอากาศที่แข็งแกร่งลำดับต้นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยกองทัพอากาศไทย มีเครื่องบินขับไล่หลัก และเครื่องบินขับไล่เบา และเครื่องบินโจมตีเบา จากสัญชาติสหรัฐ, สวีเดน เกาหลีใต้ และฝรั่งเศส/ เยอรมัน ประจำการ รวมกว่า 110 เครื่อง ได้แก่
เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 Fighting Falcon จำนวน 40 เครื่อง แบ่งเป็น
- เครื่องบินขับไล่/ โจมตีแบบ General Dynamics F-16 A/B Fighting Falcon Block 15 OCU จำนวน 22 เครื่อง
- เครื่องบินขับไล่/ โจมตีแบบ Lockheed Martin F-16 AM/BM Fighting Falcon Block 20 eMLU จำนวน 18 เครื่อง แบ่งเป็นรุ่น A ที่นั่งเดียว 12 เครื่อง และรุ่น B 2 ที่นั่ง 6 เครื่อง โดยเป็น F-16 ฝูง ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดของไทย ผ่านการปรับปรุงตามมาตรฐาน eMLU ด้วยการติดตั้งเรดาร์ AN/APG-68(V)9 ของบริษัท Northrop Grumman ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง สามารถตรวจจับข้าศึกได้ไกลกว่าเดิมถึง 2 เท่า หรือ 296.32 กิโลเมตร และมีระบบสร้างภาพภาคพื้นดินความละเอียดสูง (Synthetic Aperture Radar: SAR) สามารถ Scan เป้าหมายภาคพื้นด้วยความละเอียดสูงกว่าเดิมมาก ช่วยให้นักบินสามารถระบุและยืนยันเป้าหมายได้จากระยะไกล ฯลฯ, รวมทั้งติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางยุทธวิธีแบบ Link 16 ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบ Air Command and Control System หรือ ACCS ของกองทัพอากาศไทย ซึ่งระบบ Tactical Data Link แบบ Link-16 จะแบ่งปันข้อมูลของอากาศยานฝ่ายเดียวกันของทุกหมู่บิน ตลอดจนหน่วยรบทุกเหล่าทัพที่ติดตั้งอุปกรณ์นี้ อันจะทำให้ทุกคนมีความตระหนักรู้ถึงสถานการณ์ขณะทำการรบสูงสุด และทำให้การฝึกรบร่วมกับนานาประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ, หมวกบินติดศูนย์เล็งแบบ Joint Helmet-Mounted Cueing System (JHMCS) ของบริษัท Boeing เพื่อแสดงข้อมูลการบินและการใช้อาวุธ, กระเปาะชี้เป้าแบบ Sinper ATP ของบริษัท Lockheed Martin, จรวดอากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบ AIM-120 AMRAAM, จรวดอากาศสู่อากาศพิสัยใกล้อินฟราเรดแบบ IRIS-T และระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ และดาวเทียม ซึ่งจะเป็น F-16 ฝูงหลักของไทย ที่วางกำลังไปถึงปีพ.ศ. 2585 (2042)
เครื่องบินขับไล่/ พหุภารกิจแบบ Saab JAS 39 Gripen C/D จำนวน 11 เครื่อง
แบ่งเป็นรุ่น C ที่นั่งเดี่ยว 7 เครื่อง และรุ่น D สองที่นั่ง 4 เครื่อง ซึ่งได้รับการอัปเกรดซอฟต์แวร์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน MS20 ในปีพ.ศ. 2565 ฯลฯ
กองทัพอากาศไทย จะได้รับมอบเครื่องบินขับไล่หลากบทบาทแบบ Saab JAS 39 Gripen E/F จำนวน 4 เครื่องแรก ในปีพ.ศ. 2572 และจะทยอยรับมอบจนครบ 12 เครื่อง ในการ
จัดซื้อ 3 เฟส ภายในปีพ.ศ. 2576 - 2578
โดยเครื่องบินรบลำนี้ สามารถที่ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยไกลได้ถึง 7 นัด ซึ่งจะมาพร้อมกับอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยไกลนอกระยะสายตานำวิถีด้วยเรดาร์แอ๊กทีฟ (Active Radar Guided Beyond Visual Range Air to Air Missile: BVRAAM) แบบ MBDA Meteor ที่มีระยะยิงไกลสุด 200 กิโลเมตร ด้วยความเร็วมากกว่า 4 มัค
นอกจากนี้ ตามสมุดปกขาวกองทัพอากาศไทย ฉบับล่าสุดปีพ.ศ. 2568 ระบุไว้ว่า ในปีงบประมาณ 2570 - 2572 กองทัพอากาศ มีโครงการจัดหาอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศระยะไกลกว่าสายตา โดยจะจัดหาอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศไกลกว่าสายตา (Beyond Visual Range Missile: BVRAAM) ที่มีระยะยิงไกลไม่น้อยกว่า 50 ไมล์ทะเล หรือ 92.6 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นการจัดหา Raytheon AIM-120 C-7/8 Advanced Medium Range Air to Air Missile (AMRAAM) ที่มีระยะยิงระหว่าง 105 - 160 กิโลเมตร หรือ MBDA Meteor ที่มีระยะยิง 200 กิโลเมตรก็เป็นไปได้ ทั้งนั้น เพราะ AIM-120 C-7/8 AMRAAM ก็สามารถติดตั้งได้กับ F-16 AM/ BM Block 15 eMLU ทั้ง 18 เครื่อง และ Gripen C/D ทั้ง 11 เครื่องที่เรามีอยู่ รวมถึง Gripen E/F จำนวน 12 เครื่อง ที่จะได้รับมอบในอนาคต ส่วน Meteor นั้น ก็สามารถติดตั้งได้ทั้งกับ Gripen C/D และ Gripen E/F ฯลฯ
สรุป ฮุนเซนอย่าเสียเวลาประท้วง ห้ามไทยใช้เครื่องบินรบ
แต่พึงสำเหนียกว่า อย่าแม้แต่จะคิดรุกรานคุกคามประเทศที่มีกำลังรบเหนือกว่าตนเอง
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี