วันพฤหัสบดี ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วิวัฒนาการของสภาผู้แทนราษฎรไทยนั้น มีทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่นั้นส่วนมากได้มีบันทึกเล่าขานแล้ว แต่ไม่ใช่จะทุกเรื่องยิ่งเรื่องเล็กที่เป็นเกร็ดน่ารู้มักถูกมองข้าม
กรณีหนึ่งที่อาจเป็นเรื่องเล็ก เพราะเป็นเรื่องของผู้แทนราษฎรคนสองคนเท่านั้นที่ขอลาออกเพราะสภาฯมีมติขึ้นเงินเดือนตัวเองผู้แทนราษฎรที่ว่านี้มีด้วยกัน 2 คน ท่านแรกนั้นถึงทุกวันนี้ก็มีผู้คนยังจำชื่อท่านได้ เพราะท่านเล่นการเมืองบ้างเลิกเล่นการเมืองบ้างตามสถานการณ์และโอกาส ตำแหน่งสุดท้ายและสำคัญทางการเมืองคือท่านได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีหัวหน้ารัฐบาลของประเทศในพ.ศ. 2518 อีกท่านหนึ่งเป็นผู้แทนราษฎรมาจากต่างจังหวัด แต่เป็นจังหวัดใหญ่และมีความสำคัญมากจังหวัดหนึ่งใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือจังหวัดนครราชสีมา บุคคลผู้นี้ได้แก่ ร.ท.สัมพันธ์ ขันธะชวนะนักหนังสือพิมพ์ชื่อดังสมัยก่อน
มาดูเส้นทางการเมืองของหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช กันบ้าง ท่านลงเล่นการเมืองครั้งแรก ได้เป็นผู้แทนราษฎรในจังหวัดพระนคร สังกัดพรรคก้าวหน้าของท่านเอง ในการเลือกตั้งครั้งที่ 4 ของไทย เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาฯสมัยนั้นรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ ควง อภัยวงศ์ เมื่อมีการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ล้มรัฐบาลหลวงธำรงฯ ท่านก็พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้นมีการเลือกตั้งในเดือนมกราคม พ.ศ. 2491 ท่านก็ได้รับเลือกตั้งกลับเข้าสภาฯอีกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร โดยสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากการเลือกตั้ง นายควง อภัยวงศ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เป็นอยู่ได้ถึงเดือนเมษายนปีเดียวกัน ทหารจากคณะรัฐประหารก็มาจี้นายกรัฐมนตรีให้ลาออก รัฐบาลที่เป็นต่อมาก็คือรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เรื่องการขึ้นเงินเดือนผู้แทนราษฎรเพิ่มพิเศษนี้เป็นต้นเหตุให้หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชและร.ท.สัมพันธ์ ขันธะชวนะ ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2491 ดังที่ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ บันทึกไว้ว่า ใบลาของผู้แทนทั้งสองนี้มีความตอนหนึ่งว่า
“ตามที่สภาผู้แทนฯได้ลงนามให้จ่ายเงินเพิ่มแก่สมาชิกสภาผู้แทนฯ เดือนละ 1,000 บาท นั้น ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไว้วางใจของประชาชนได้ต่อไปอีก จึงขอลาออกจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน”
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ลาออกจากการเป็นผู้แทนราษฎรได้ประมาณสองเดือนครึ่งนายกรัฐมนตรีจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ปรับคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 โดยหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่ได้ถูกต่อต้านจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคน มีการอภิปรายว่าท่านได้เคยลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพราะประท้วงการขึ้นเงินเดือนแล้วจะกลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกหรือ ผลของการอภิปรายเล่นงานในสภาฯ ครั้งนี้ ทำให้หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ต้องยอมลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี
แต่เส้นทางทางการเมืองของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช มิได้จบลงเพียงเท่านี้กระทั่งมีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ท่านจึงกลับเข้าสนามการเมืองอีกครั้ง โดยท่านได้ตั้งพรรคการเมืองชื่อพรรคกิจสังคมที่ตัวท่านเองเป็นหัวหน้าพรรคนำพรรคลงสู่สนามเลือกตั้งในการเลือกตั้ง พ.ศ.2518 ผลของการเลือกตั้งพรรคกิจสังคมของท่านได้เสียงเพียง 18 เสียงนับเป็นพรรคอันดับที่ 5 ในการเลือกตั้งครั้งนั้น แต่เมื่อพรรคที่ได้เสียงอันดับที่หนึ่งคือพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลและแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่ได้รับความไว้วางใจจนต้องพ้นจากตำแหน่งไป หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ได้รับความสนับสนุนจากสภาฯให้เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านจึงสามารถตั้งรัฐบาลอยู่มาได้ประมาณหนึ่งปีก็ได้ยุบสภาเปิดทางให้มีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งในตอนต้นปีพ.ศ. 2519 แต่น่าเสียดายว่าตัวท่านเองแพ้เลือกตั้งที่เขตดุสิต จังหวัดพระนคร
นี่คือเรื่องราวเล็กๆเรื่องหนึ่งในชีวิตการเมืองของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
นรนิติ เศรษฐบุตร

สาวไทยดับคาปอยเปต แม่ร่ำไห้! บริษัทขู่เผาศพทิ้ง หากเป็นข่าวใหญ่
'กองบิน 5'แถลงข่าวเตรียมจัดงาน'สดุดีวีรชน 8 ธันวาคม 2484'ประจำปี 2568
ทบ.ซัด'เขมร'แถลงบิดเบือน ย้ำไทยโต้กลับเพื่อป้องกันตนเอง
'นิพิฏฐ์'แนะ'สว.สำรอง' เลือกฟ้อง กกต.บางคน เหตุมีอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็น กกต.ด้วย เสี่ยงทำคดีสะดุด
เขมรมีหนาว! เสริมเขี้ยวเล็บทบ.ส่งมอบอาวุธวิจัย 'จรวดหลายลำกล้องDTI-1G'

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี