วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ในบรรดาร่างกฎหมายที่มีการเสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณานั้น จะเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรือไม่ ถือว่ามีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญ ดังนั้น จึงต้องกำหนดว่าใครจะเสนอได้หรือต้องให้ใครรับรองจึงจะเสนอได้ในปัจจุบันรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เขียนไว้ค่อนข้างชัดเจน ในมาตรา 133 ว่าร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อย
กว่า 20 คน หรือร่างพระราชบัญญัติที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน เข้าชื่อเสนอกฎหมายนั้นจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี
ที่จริงประเทศไทยมีการปกครองในระบบรัฐสภามาประมาณเกือบ 20 ปี ก็ยังไม่มีปัญหาอะไรในเรื่องนี้ จนกระทั่งถึงปี 2494 เป็นช่วงเวลาที่รัฐสภาประกอบด้วย 2 สภา คือ วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร จึงได้เกิดมีความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภาในประเด็นว่าร่างกฎหมายที่พิจารณาอยู่นั้นเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรือไม่ ทั้งนี้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ได้บัญญัติว่าร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินนั้นหมายถึง
“ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อความต่อไปนี้ทั้งหมด หรือแต่ข้อใดข้อหนึ่ง กล่าวคือ การตั้งขึ้น หรือยกเลิก หรือลด หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือผ่อน หรือวางระเบียบการบังคับอันเกี่ยวกับการภาษีหรืออากร หรือว่าด้วยเงินตรา การจัดสรร รับ รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือการกู้เงิน หรือการประกัน หรือใช้เงินเงินกู้
ในกรณีเป็นที่สงสัยให้เป็นอำนาจของประธานแห่งสภาผู้แทน ที่จะวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติอย่างใดเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินหรือไม่”
ครั้งนั้น ปรากฏว่าในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2494 ทางรัฐบาลได้เสนอร่างบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการต่อสภาผู้แทนราษฎร และประธานสภาไม่ได้วินิจฉัยเสียก่อนว่าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินหรือไม่ ครั้นสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาเห็นชอบแล้วจึงได้เสนอไปยังวุฒิสภา ปรากฏว่าคณะกรรมาธิการวุฒิสภาเห็นว่าไม่ใช่ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน จึงไม่ได้รีบพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เมื่อครบเวลา 30 วัน สมาชิกสภาผู้แทนจึงได้เสนอญัตติขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรชี้ขาดว่าร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการฉบับที่เสนอให้วุฒิสภาพิจารณาและพิจารณาไม่เสร็จนั้นเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยการเงินเมื่อประธานสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาและวินิจฉัยว่าเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยการเงิน และเมื่อเลยเวลา 30 วันมาแล้วจึงไม่จำเป็นต้องรอวุฒิสภา จึงได้ส่งร่างกฎหมายนี้ไปยังนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยถือเสมอว่าวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบแล้ว
นี่เองจึงเป็นความขัดแย้งที่จะต้องทำให้ชัดเจน นั่นคืออาจจะต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในเรื่องเกี่ยวข้องให้ชัดเจนออกไป แต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2492 ใช้ต่อมาได้อีกไม่นานก็ถูกยกเลิกไปโดยการรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2494 และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้ามาแทนที่คือรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ทั้งนี้เข้าใจว่าประเด็นนี้ก็ยังไม่ได้มีการแก้ไขให้ชัดเจน จนเวลาผ่านมา 17 ปี ในครั้งที่มีการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2511 จึงได้บัญญัติไว้ในมาตรา 119 ว่า ประธานสภาต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าร่างพระราชบัญญัติใดเกี่ยวกับการเงินหรือไม่หากเป็นร่างพระราชบัญญัติการเงินก็ต้องแจ้งไปให้สภาที่จะพิจารณาร่างบัญญัตินั้นทราบด้วย หากไม่แจ้งไปให้ถือว่าไม่ใช่ร่างพระราชบัญญัติการเงิน
รัฐธรรมนูญนั้นเป็นเอกสารสำคัญของชาติ เป็นกติกาทางการเมือง จะเรียกว่าเป็นคัมภีร์ของแผ่นดินก็ได้ เพราะยอมรับกันว่ารัฐธรรมนูญเป็นแม่บทกฎหมาย กฎหมายใดขัดกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายนั้นก็แพ้ไปแต่รัฐธรรมนูญก็มีวิวัฒนาการแม้จะตั้งใจเขียนให้ดีอย่างไรก็อาจมีข้อบกพร่องอยู่ได้ ที่จำเป็นจะต้องแก้ไข กรณีเกี่ยวกับร่างกฎหมายการเงินก็เช่นกัน และในการแก้ไขนั้นอาจทำให้ชัดเจนขึ้น แต่จะดีขึ้นหรือไม่ดีอย่างไรนั้นต้องพิจารณากันอีกที
นรนิติ เศรษฐบุตร

ดีกว่านี้ได้อีก!‘โค้ชวัง’ถ่อมช้างศึกยังไม่ท็อปฟอร์ม
'กิตติรัตน์'ท้วง กษ.ควรออกประกาศห้ามเผาป้องกัน PM2.5 ตั้งแต่ ธ.ค.นี้
คอนเฟิร์มแล้ว ดีเจดาด้า เผยรู้มาเป็นปี นานา-เวย์ ไทเทเนียม หย่ากันจริง
เมล็ดพันธุ์ สส.ที่ดี! ‘ปชป.’ภาคกลางเปิดงาน‘เพาะกล้า’คัด สส.
ทบ.ไทยย้ำปฏิบัติการใช้อาวุธมุ่งเฉพาะ'เป้าหมายทางทหาร'ตามหลักมนุษยธรรมสากล

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี