ย้อนไปเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558 นายคทาวุธ ครั้งพิบูลย์ หรือครูเคท สาวประเภทสอง ได้ร้องศาลปกครอง ฟ้องมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) และคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย(กบม.) ว่า ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เลือกปฏิบัติในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ กรณีที่ กบม. มีมติไม่รับบรรจุเป็นอาจารย์ในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ หลังสอบผ่านการคัดเลือกเข้าเป็นอาจารย์ โดยเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 363,000 บาท และค่าเสียโอกาสเดือนละ 23,700 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่ากบม.จะอนุมัติให้เป็นอาจารย์
ในครั้งนั้น นายเคทกล่าวว่า “การที่ฟ้องมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในครั้งนี้ เป็นสิ่งหนึ่งที่เราเชื่อมั่นว่า กรณีเบื้องหลังที่เราถูกเลือกปฏิบัติมาจากเหตุอคติทางเพศ เพศสภาพของเรา การเลือกปฏิบัติทางเพศ ทำให้เราไม่สามารถถูกจ้างจากมหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้ จริงๆ สังคมได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้สร้างความเข้าใจให้ผู้คนได้รู้ว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องการจ้างงาน การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ เป็นสิ่งที่ LGBT หลายคนในบ้านเรากำลังเผชิญอยู่ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งการที่ตนเองมาฟ้องร้องในครั้งนี้ก็เชื่อว่า จะสามารถเป็นส่วนที่สร้างบรรทัดฐานให้กับสังคมไทยต่อเรื่องนี้ได้”
LGBT (หรือ LGBT, L- Lesbian, G- Gay, B-Bisexual, T-Transgender/Transsexual) เป็นคำเรียกรวมที่มีความหมายถึง “กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ”
ทางด้าน มธ. ชี้แจงที่ไม่รับครูเคทเข้าทำงาน เพราะครูเคทลงรูปลิปสติกคล้ายอวัยวะเพศชายลงทางโซเชียล ไม่เหมาะสมที่จะเข้ารับตำแหน่งเป็นอาจารย์ ไม่เกี่ยวกับเพศที่สาม แต่อย่างใด
จนเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาตัดสินเพิกถอนมติกบม.ที่ไม่ว่าจ้างครูเคทในตำแหน่งอาจารย์ เพราะเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแม้พฤติการณ์ของครูเคทจะไม่เหมาะสม แต่ไม่ถึงขนาดเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีที่มหาวิทยาลัยจะไม่ว่าจ้างเข้าทำงาน พฤติการณ์การใช้สื่อสารสาธารณะเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเฉพาะในกลุ่มผู้ที่เป็นเพื่อนและผู้ติดตาม ไม่ใช่พื้นที่สาธารณะทั่วไป และศาลมีคำสั่งให้มหาวิทยาลัย ทำสัญญาจ้างครูเคทเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีเป็นอันถึงที่สุด
แม้ทางครูเคทจะให้เหตุผลว่าเป็นเพราะเพศสภาพ แต่เมื่อมีการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาคดีของศาล ศาลปกครองไม่ได้พิจารณาถึงเรื่องการไม่รับเข้าทำงาน เพราะเรื่องเพศสภาพของ ครูเคทแต่ประการใด
เมื่อพิจารณาตามหลักกฎหมาย การสื่อสารของครูเคทถือว่า เป็นสิทธิเสรีภาพตามมาตรา 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ที่รองรับสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แม้จะมีการใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ และภาพประกอบที่ไม่เหมาะสม แต่ไม่ถือว่าเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี ตามมาตรา 7 (ข) (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้นอกจากจะให้บทเรียนแก่ครูเคท ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังเรื่องการลงข้อความต่างๆ ในโลกสังคมออนไลน์ นักเลงคีย์บอร์ดทั้งหลาย ควรนำมาเป็นข้อคิดในการลงข้อความต่างๆ เพราะข้อความที่ลงไปแล้ว ไม่สามารถลบออกจากสายตาสาธารณชนได้ และอาจเข้าข่ายหมิ่นประมาท ตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง
มธ. ถือเป็นมหาวิทยาลัยที่ให้เสรีภาพนักศึกษาในการแต่งกาย ในขณะที่บางมหาวิทยาลัยเข้มงวดเรื่องการแต่งกาย ต้องเป็นไปตามระเบียบที่มหาวิทยาลัยกำหนด การฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด เช่น ตัดคะแนนความประพฤติ เมื่อครบสามครั้งจะเชิญผู้ปกครองมาพบ และหากพบว่ามีการกระทำผิดอีก จะลงโทษด้วยการพักการเรียน
การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแต่งกายระดับอุดมศึกษา มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย การแต่งกายควรคำนึงถึงเพียงความเหมาะสม และรู้จักกาลเทศะน่าจะเพียงพอแล้ว แต่มีนักศึกษาบางรายที่ เมื่อมหาวิทยาลัยไม่เข้มงวด แต่กลับแต่งกายตามสบายเกินไป ดูแล้วไม่ต่างจากอยู่บ้าน ซึ่งเป็นเรื่องดูแล้วไม่ให้เกียรติสถาบันและผู้สอน นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
นักเรียนบางคนอาจเลือกสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่ไม่เข้มงวดเรื่องการแต่งกาย เพราะในสมัยเรียนมัธยมต้องแต่งกายตามระเบียบของโรงเรียน เมื่อเรียนมหาวิทยาลัย เลยต้องการสิทธิเสรีภาพในการแต่งกาย มหาวิทยาลัยบางแห่งยอมรับการที่นักศึกษาชายใช้เครื่องแบบนักศึกษาหญิง เช่น มธ., มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(เอแบค)
กรณีครูเคท ทาง มธ. ไม่ได้นำเอาเรื่องเพศทางเลือกมาเป็นประเด็นหลัก แต่ทาง มธ. มุ่งเป้าไปที่การแสดงความคิดเห็น เพราะคนเป็นอาจารย์ไม่ควรแสดงออกเช่นนั้น อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ต่อทั้งตัวครูเคทและมหาวิทยาลัย การวินิจฉัยของศาลปกครองสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น
เส้นทางการต่อสู้ของครูเคทใช้เวลามากกว่า 3 ปี ได้รับกำลังใจมากมายจากกลุ่มบุคคลข้ามเพศ กลุ่มบุคคลข้ามเพศจำนวนไม่น้อยที่ถูกกีดกันในการรับเข้าทำงาน แม้จะมีศักยภาพสูง ผู้ว่าจ้างยังมีอคติ มองเพียงบุคลิกภาพภายนอก แต่กลับไม่ยอมรับศักยภาพความสามารถภายใน นอกจากนี้ บุคคลข้ามเพศบางราย แม้จะมีงานทำ แต่กลับถูกเลือกปฏิบัติในสถานที่ทำงาน เช่น ไม่ได้รับการเลื่อนขั้น ไม่ปรับเงินเดือน ถูกเพื่อนร่วมงานล้อเลียน ไม่ได้รับการยอมรับให้เข้ากลุ่ม
หลายประเทศที่ยอมรับให้บุคคลข้ามเพศเข้าทำงาน เพราะมองไปที่ความสามารถของบุคคลนั้นมากกว่าเพศสภาพ ถือว่าไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ ประเทศเนเธอร์แลนด์ยอมให้เพศที่สามแต่งงานกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งยอมให้เลือกเพศได้ คือใส่คำนำหน้า นาย หรือ นางสาว ในขณะที่บางประเทศจะไม่ยอมรับบุคคลข้ามเพศเข้าทำงานเลย
ปัจจุบันการยอมรับเรื่องบุคคลข้ามเพศมีมากกว่าในอดีต จะเห็นได้จากบทละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ จะมีบทของบุคคลข้ามเพศในหลายเรื่อง บุคคลข้ามเพศควรได้รับการยอมรับ และไม่ควรถูกเหยียดหยามจากสังคม
แม้ในขณะนี้จะยังไม่มีกฎหมายเรื่องสิทธิพื้นฐานของคนข้ามเพศ แต่ต้องไม่ลืมว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี