ต่อตระกูล : คงยังไม่ลืมกันว่าในปีพ.ศ. 2547 มีข่าวที่โด่งดังมาก กรณีสินบนเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CTX 9000 สำหรับตรวจกระเป๋าเดินทางในสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่ออัยการของประเทศสหรัฐอเมริกาจับได้ว่าบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯชื่อ อินวิชั่น ได้ทำผิดกฎหมายห้ามมิให้จ่ายสินบนแก่ผู้ซื้อในประเทศต่างๆ และมีข้อมูลรับสารภาพของบริษัทอินวิชั่นว่าได้จ่ายสินบนให้บุคคลระดับสูงในประเทศไทย แต่แล้วในที่สุดประเทศไทยก็ไม่สามารถหาตัวผู้รับสินบนมาลงโทษแม้แต่ผู้เดียว
เช่นเดียวกับครั้งนั้น เรื่องสินบนโรลส์-รอยซ์ในครั้งนี้ก็มีผู้กังวลกันมากว่า แม้มีข้อมูลพร้อมส่งจากต่างประเทศ แต่เรื่องคงจะจบลงเหมือนเดิม ไม่สามารถหาผู้กระทำผิดรับสินบนมาลงโทษได้เลยอย่างไรก็ตามผมเห็นว่า ครั้งนี้เรายังมีความหวังอยู่บ้าง เพราะมีสิ่งที่แตกต่างจากในยุคสมัย CTX 9000 คือ 1.รัฐบาลในขณะนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดซื้อCTX 9000 แต่รัฐบาลปัจจุบันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีสินบนโรลส์-รอยซ์และ 2.ในยุค CTX 9000 ยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายกันผู้ร่วมกระทำผิดที่ให้การเป็นประโยชน์ไว้เป็นพยานอย่างมีประสิทธิภาพ
ต่อภัสสร์ : ทำไมคดี CTX จึงหลุดไปหมด ไม่สามารถหาผู้กระทำผิดได้เลยแม้จะมีหลักฐานจากอัยการของอเมริกา แสดงแน่ชัดว่ามีผู้รับเงินสินบนไปอย่างแน่นอนครับ
ต่อตระกูล : ตามข้อเท็จจริง ป.ป.ช.แถลงว่าพยานหลักฐานทั้งหมดไม่เพียงพอพิสูจน์ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดโดยปราศจากข้อสงสัย เหตุผลจริงๆก็คือ หลักฐานที่สหรัฐฯส่งมานั้น ไม่เพียงพอชี้มูลความผิดผู้ใดได้ เนื่องจากเขาใช้กฎหมายนิรโทษกรรม (Amnesty law)ที่ละเว้นความผิดอาญาให้กับบริษัทหรือบุคคลแรกที่นำหลักฐานมายื่นต่อเจ้าหน้าที่ พูดง่ายๆ คือ หากยอมรับผิดก่อนจะมีการสืบสวนสอบสวนต่อไป รัฐบาลสหรัฐฯก็แค่ปรับ แต่ไม่ลงโทษจำคุกและจะหยุดสืบสวนสอบสวนคดีนี้ต่อไป
ดังนั้นในกรณีนี้ เมื่อบริษัทอินวิชั่นยอมรับผิดแต่แรก ก็ถูกปรับเงินไป หลักฐานจึงมีเพียงคำให้การซัดทอดของเขา ซึ่งไม่เพียงพอจะเอาผิดกับผู้รับสินบนฝ่ายไทยได้ เสียดายแต่เพียงว่าสหรัฐฯเขาบอกใบ้มาขนาดนี้แล้ว หากประเทศไทยมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยก็คงเพียงพอที่จะเอาผิดคนโกงได้แล้ว
ต่อภัสสร์ : เครื่องมือที่พูดถึงนี้มันคือ กฎหมายกันผู้ร่วมกระทำผิดที่ให้การเป็นประโยชน์ไว้เป็นพยานของประเทศไทยที่พูดถึงเมื่อกี้หรือเปล่าครับมันคืออะไร และจะช่วยให้จับคนรับสินบนคดีสินบนโรลส์-รอยซ์ในครั้งนี้ได้อย่างไรครับ
ต่อตระกูล : หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดีซึ่งเป็นไปตามมาตรา 103/6 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2)พ.ศ.2554 มีเงื่อนไขระบุบุคคลใดที่คณะกรรมการป.ป.ช.จะสามารถกันไว้เป็นพยาน ไม่ดำเนินคดีตามกฎหมาย ป.ป.ช.ได้ อีกทั้งบุคคลที่จะกันไว้เป็นพยานนั้น ต้องได้รับการพิจารณาเห็นชอบหรือยกเลิกการเป็นพยานจากคณะกรรมการป.ป.ช.อีกด้วย แต่ที่ผ่านมาป.ป.ช.ไม่ค่อยได้ใช้เครื่องมือนี้มากนัก
ในครั้งแรกที่นำมาใช้เมื่อเร็วๆ นี้คือกรณีทุจริตการสอบเป็นนายอำเภอที่ป.ป.ช.กันผู้สอบซึ่งเป็นนายอำเภอ 20 คนไว้เป็นพยานเพื่อให้มีพยานชี้ว่า ใครเป็นผู้กระทำการทุจริต ปรากฏว่าพยานเหล่านี้ถูกกระทรวงมหาดไทยลงโทษความผิดทางวินัย ตัวอย่างนี้ทำให้ผู้ที่จะมาเป็นพยานกรณีทุจริตต่างๆ ไม่มั่นใจจะได้รับการคุ้มครองจากการใช้อำนาจของผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานหรืออำนาจมืดต่างๆ
ดังนั้นการประกาศให้คำมั่นโดยนายกรัฐมนตรีว่า พยานจะได้รับการรับรองสิทธิ์กันไว้เป็นพยาน ไม่ถูกดำเนินคดีและจะมีการคุ้มครองดูแลจริงตลอดไป จึงสำคัญมาก เรื่องนี้นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินก็กล่าวสนับสนุนนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลังที่เสนอให้แก้ไขกฎหมายเพื่อป้องกันปัญหาทุจริต โดยใช้ ม.44 ลดโทษอาญาคนให้สินบนว่า “แนวคิดดังกล่าวถือเป็นแนวทางหนึ่งที่อาจเป็นประโยชน์สามารถจูงใจให้คนที่เคยจ่ายสินบนหักหลังคนรับสินบนกลับมาอยู่ฝ่ายที่ถูกต้องในการให้ข้อมูล โดยไม่ต้องเกรงว่าตัวเองจะได้รับโทษหนัก”
ต่อภัสสร์ : อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องวิเคราะห์กันดีๆ คิดให้ครอบคลุมเพราะอาจเป็นเหมือนดาบสองคมได้ประเด็นนี้ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณและรองศาสตราจารย์ ดร.สังศิตพิริยะรังสรรค์ สองผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ก็ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยให้เหตุผลว่าคอร์รัปชันเป็นเรื่องลับ ยากที่จะมีคนมาเปิดเผย แม้จะได้รับสิทธิความคุ้มครอง และ ป.ป.ช. เองก็มีมาตรการคุ้มครองพยานอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ ม.44 ออกเป็นกฎหมายใหม่ให้ซ้ำซ้อนกัน
ต่อตระกูล : เห็นด้วยว่าไม่ต้องใช้ม.44 แต่ ป.ป.ช.ก็ควรพยายามนำมาตรการตามกฎหมายที่มีอยู่แล้วนี้มาบังคับใช้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อแสวงหาพยานหลักฐานสำคัญในการนำผู้ที่เป็นตัวการใหญ่ในการทุจริตมาลงโทษ
ส่วนแนวคิดที่ว่าเอกชนและธุรกิจที่จ่ายสินบนเป็นต้นเหตุใหญ่ที่เสนอให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐ จึงต้องถูกลงโทษอย่างแรงด้วยนั้น ข้อนี้ขอให้ข้อมูลว่าในยุคปัจจุบัน ปัญหามักเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่รัฐเรียกร้องและบีบบังคับให้ต้องจ่ายเงินสินบนโดยเฉพาะวงการการก่อสร้างที่มีการรีดไถในโครงการก่อสร้างเป็นปกติ มีข้อมูลแน่ชัดจากการสัมมนาสมาคมต่างๆ ในวงการก่อสร้างว่า ผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้าง สถาปนิกวิศวกรและผู้รับเหมาที่ไม่เคยต้องจ่ายสินบนก็ถูกบังคับข่มขืนใจให้กระทำผิด บุคคลเหล่านี้ยินดีเป็นพยาน แต่ถ้าไม่ได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษโดย ป.ป.ช. ถ้าเปิดเผยก็จะต้องได้รับความผิดไปด้วย
สรุปว่าถ้าไม่มีการกันเป็นพยานอย่างมีประสิทธิภาพ คดีโรลส์-รอยส์และคดีอื่นๆ ที่ต่างประเทศได้ชี้มายังประเทศไทยว่ามีการกินสินบนผู้กระทำผิดก็จะหลุดลอยไปอีกแน่นอน และจะยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า โกงกันไปเถิด ถึงต่างชาติจะรู้ ประเทศไทยก็ไม่สามารถดำเนินการเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี