อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยอุตส่าห์ออกมา “ทวงสัญญา” ในวาระครบ 3 ปีแห่งการยึดอำนาจโดย คสช. (แต่ลืมแสดงความเสียใจกับเหตุระเบิด และลืมประณามมือวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า)
มีอะไรน่า “ถอดรหัส” ไหม ในการออกมาแสดงความคิดเห็นของเธอ ตอบว่า “มี” โดย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คของเธอเรื่อง “อย่าให้ 3 ปี ของการยึดอำนาจต้องสูญเปล่า” มีใจความว่า...
“...วันนี้เป็นวันที่ ครบรอบ 3 ปี ของ คสช.ที่เข้ามายึดอำนาจจาก รัฐบาลดิฉัน คงจะจำกันได้ว่า เหตุผลที่เข้ามายึดอำนาจนั้นเพราะมี ปัญหาจากความแตกแยกทางการเมือง ต้องแก้ไข ให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ให้ประชาชนในชาติเกิดความรัก ความสามัคคีเช่นเดียวกับห้วงที่ผ่านมา และต้องการที่จะมาปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองเศรษฐกิจ สังคมให้ดีขึ้น เกิดความเป็นธรรมกับทุกพวกทุกฝ่ายจะได้เกิดความสงบ และมีความปรองดองเกิดขึ้นในชาติ
และวันนี้ก็ครบ 3 ปี แล้วนะคะ เป็น 3 ปี ของประเทศไทย ที่รอวันนั้นด้วยความหวัง หวังจะให้บ้านเมือง เกิดความสงบ ปรองดองและเกิดหลักนิติธรรมขึ้นในบ้านเมือง เราจะได้เลิกทะเลาะกันสักที และร่วมกันปฏิรูปประเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ จะได้ร่วมกันทำให้บ้านเมืองของเราดีขึ้น ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และอยู่ในเวทีโลกด้วยความภาคภูมิใจตามที่สัญญาว่าจะคืนความสุขให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศ
แต่วันนี้พวกเรายังไม่เห็นการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม ถ้าไม่มีการปฏิรูปก็สูญเปล่าเพราะความเสียหายทางเศรษฐกิจมีมากจากการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น “อย่าให้ เป็น 3 ปี ที่ต้องสูญเปล่าเลยค่ะ ดิฉันขอทวงสัญญา...”
นับว่า เป็นข้อความที่ “ไร้ยางอาย” อยู่ไม่น้อย
1) “ที่เข้ามายึดอำนาจจาก รัฐบาลดิฉัน” นี่คือสุดยอดของคำกล่าวที่ “ไร้ยางอาย” และมิได้ “ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา” ให้ถี่ถ้วนก่อน
หากจำกันได้ ยิ่งลักษณ์กลับบ้านไปอยู่กับลูกกับผัว เพราะต้องคำพิพากษาศาล ในคดีย้าย “นายถวิล เปลี่ยนศรี” ก่อนการรัฐประหารจะเกิดขึ้นแล้ว รวมไปถึงคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่ที่ร่วมอยู่ในการประชุมด้วยเวลานั้น จึงเหลือแค่รัฐมนตรีเพียงหยิบมือหนึ่ง ซึ่งไม่มีอำนาจใดๆ เหลืออยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณางบประมาณ การออกกฎหมายให้มีการเลือกตั้ง ฯลฯ เท่ากับว่า ประเทศชาติต้อง “ตัน” อยู่กับรัฐมนตรีรักษาการหยิบมือเดียว
ในช่วงเวลานั้น ทางออกที่นำเสนอกัน คือการขอให้รัฐมนตรีรักษาการที่ช่วยประเทศชาติไม่ได้แล้วหยุด “ปิดทางออก” ด้วยการยอมลาออกเพื่อให้วุฒิสภา หาทางออกตามข้อกฎหมาย คือ การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีเข้ามารักษาการ และนายกรัฐมนตรีนั้น ก็ตั้งคณะรัฐมนตรี ดูแลบ้านเมืองในช่วง “เปลี่ยนผ่านเฉพาะหน้า” โดยระหว่างนั้นก็ดำเนินการ “วางแผนการปฏิรูป” ก่อนส่งบ้านเมืองคืนแก่ประชาชนผ่าน “การจัดการเลือกตั้ง” ทุกอย่างก็เดินหน้าต่อไปได้
แต่เมื่อมีวาทกรรม “วินาทีผมไม่ลาออก” จากแกนนำรัฐมนตรีหยิบมือเดียวในยามนั้น ทหาร ซึ่งเลือกใช้วิธีประกาศกฎอัยการศึก แล้วเชิญคู่ขัดแย้งทั้งหลาย อาทิ กปปส. พรรคประชาธิปัตย์ นปช. พรรคเพื่อไทย และพรรคการเมืองอื่นๆ ไปนั่งคุยกัน ตกลงกัน หาทางออกร่วมกันเพื่อประเทศชาติ จึงต้อง “เปิดทางออก” ด้วยการประกาศ“ควบคุมอำนาจ” ให้ม็อบทั้งหลาย ที่การข่าวตรวจพบความเคลื่อนไหวว่าอาจมีแผน “ใช้ม็อบชนม็อบ” พร้อมกับตรวจจับอาวุธสงครามได้หลายตู้ โดยฝ่ายกองทัพเข้ามาเป็น “รัฎฐาธิปัตย์” แทน
ไม่ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบ แต่นั่นคือสถานการณ์ความจำเป็นของประเทศชาติ ที่ต้อง “ตัดตอน” ก่อนความขัดแย้งจะลามเลยไปถึงขั้นเข่นฆ่ากัน และอาจมีการดึงสถาบันลงมาสู่ความขัดแย้ง ซึ่งครั้งนี้จะไม่เหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลา หรือพฤษภาทมิฬ เพราะครั้งก่อนนั้นไม่มีฝ่ายใดเปิดให้มีการ “หมิ่นสถาบัน” หรือ “ใส่ร้ายสถาบัน” ในหมู่มวลชนเหมือนครั้งนี้ ที่ในหมู่ นปช. มีคนหมิ่นสถาบันปะปนอยู่ด้วยอย่างชัดเจน การยึดอำนาจจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุฉะนี้ ถามว่าทั้งหมดนี้ เรียกว่า “ยึดอำนาจรัฐบาลดิฉัน” ได้เต็มปากเต็มคำไหม?
2) “แต่วันนี้พวกเรายังไม่เห็นการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม”ก็เป็นอีกหนึ่งข้อความไร้อยางอาย
ในเวลานั้น มีการประกาศยุบสภานำหน้ามาก่อน เหตุที่มีการยุบสภา เพราะรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เอาเสียงส่วนใหญ่ที่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไปทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม ด้วยการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ปล่อยให้คนเสื้อแดง ทหาร สื่อมวลชน และประชาชนภาคส่วนอื่นๆ ตายฟรี ไม่มีแม้กระทั้งการสืบหาความจริงว่าใครฆ่า ไม่เอาผิดคนฆ่า ตัดตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่และศาล แถมพ่วงการนิรโทษกรรมพี่ชายแอบแฝงไว้ด้วย จึงเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งใช้วิธี “ลาก”กฎหมายไปลงมติตอนใกล้รุ่ง ยิ่งเห็นความ “ย่ามใจ” ไม่ยำเกรงประชาชนไม่สนใจระบบดุลและคานของรัฐสภา และไม่รู้สึกรู้สา แรงต้านของประชาชนเลยประชาชนหลายล้านคนจึงออกมาชุมนุมคัดค้านและเรียกร้องให้มีการ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หลังยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภา เดินหน้าหมายเอา “การเลือกตั้ง” ฟอกตัว เพราะหากไม่มีการ “ปฏิรูป” ยังคงเลือกตั้งด้วยกติกาเดิมๆ ระบบเดิมๆ ในองคาพยพเดิม นักการเมืองชั่วๆ ก็อาจเข้ามาเถลิงอำนาจและใช้อำนาจอย่างไม่มีมกติกา ไม่มียางอายอย่างเดิมอีกจึงหยุดการเลือกตั้ง ปฏิรูปกันก่อนดีไหม ซึ่งในเวลานั้นยิ่งลักษณ์มิได้มีเยื่อใยใดๆ กับข้อเสนอเรื่องการปฏิรุปนี้เลย บัดนี้กลับทำตัว “หน้าหนา”
กล้าที่จะทวงความคืบหน้าเรื่องการปฏิรูปกับเขาด้วย วิทยายุทธ์ด้านผิวหน้า ช่างแก่กล้าจริงๆ
3) “วันนี้ก็ครบ 3 ปี แล้วนะคะ เป็น 3 ปี ของประเทศไทย ที่รอวันนั้นด้วยความหวัง หวังจะให้บ้านเมือง เกิดความสงบ ปรองดองและเกิดหลักนิติธรรมขึ้นในบ้านเมือง เราจะได้เลิกทะเลาะกันสักที” นี่ก็สุดยอดความไร้ยางอายในคำพูด
ผู้คนจะปรองดอง บ้านเมืองจะสงบได้ คนชั่วคนร้ายต้อง “สำนึกผิด” ขอโทษ และยอมรับความจริงเสียก่อน จากนั้นก็เปลี่ยน “สันดาน” มีส่วนร่วมกับบ้านเมืองด้วยความเป็นจริง
ยกตัวอย่างเช่น ยิ่งลักษณ์เอง ที่เคยแสดงความเห็นว่า ทราบว่ารัฐบาลมีความจำเป็นถึงขนาดจะยอมยกเลิกโครงการหลักสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค แต่กลับไปซื้อเรือดำน้ำ ถามว่า นั่นเป็นการ“ปรักปรำโดยอ้อม” ซึ่งมีวาระทางการเมื่อซ่อนเร้น หาประโยชน์จากความเข้าใจผิดของประชาชน ให้เกิดความเกลียดชังรัฐบาลปัจจุบันใช่หรือไม่ สันดานเช่นนี้ จะนำไปสู่สังคมปรองดองได้อย่างไร?
เช่นเดียวกับกรณี “วัฒนา เมืองสุข” บิดเบือนเรื่อง ปรส. จนดร.รัชดา ธนาดิเรก ต้องออกมาโต้ว่า... “ฟังการให้ข่าวของคุณวัฒนาเมืองสุขวันนี้แล้วรู้สึกว่า ดูถูกคนฟังไปรึเปล่า? เพื่อตอบโต้ประชาธิปัตย์ที่จับทุจริตจำนำข้าว..
ผู้อ่านคะ คุณอาจไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเหยื่อคำเท็จ ประวัติศาสตร์เปลี่ยนไม่ได้ สืบค้นได้ ใครจริงใครหลอก.. มุขเดิม คุณวัฒนาบอก คุณทักษิณเข้าบริหารประเทศได้สองปีครึ่ง ก็สามารถใช้หนี้ IMF ได้หมด!! งั้นมาคิดไปด้วยกันค่ะ เงินตั้ง 510,000 ล้านบาท ที่ต้องใช้คืน รัฐบาลมีปัญญาหามาเหรอในเวลาสั้นๆ แค่นั้น ไม่ว่าใครจะบริหารประเทศก็ตาม
ทบทวนประวัติศาสตร์
1)รัฐบาลที่ไปกู้ IMF คือรัฐบาลพล.อ.ชวลิต จงใจยุทธ ในปี 2540 และมีคุณทักษิณเป็นรองนายกรัฐมนตรี
2)ต่อมารัฐบาลคุณชวน หลีกภัย เริ่มทยอยใช้หนี้ IMF ไปบางส่วนตามกำหนด เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ปี 2542 สามารถดึงเศรษฐกิจให้พ้นจากภาวะติดลบ 12% กลับมาเป็นบวกที่ 4.4% ปี 2543 เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 4.6%
3)รัฐบาลคุณชวนในปี 2543 จึงตัดสินใจไม่กู้เงินจาก IMFให้เต็มวงเงินกู้ที่ทำไว้ในสัญญา จึงทำให้ระยะเวลาชำระหนี้สั้นลงและเร็วกว่ากำหนดเดิม 1 ปี
4)ในปี 2546 รัฐบาลคุณทักษิณใช้หนี้ IMF ตามหน้าที่ต่อจากรัฐบาลคุณชวน แต่เลือกที่จะไปกู้เงินจากธนาคาร ADB ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ย IMF หลายเท่า เพื่อนำมาใช้หนี้ IMF แต่ใช้หนี้เร็วกว่าเดิมแค่ไม่กี่เดือน แน่หละรัฐบาลได้หน้า (และยังอวดอ้างจนทุกวันนี้) แต่กลับทำให้ประเทศต้องเสียเงินมากขึ้น..นี่หรือเรียกว่าเพื่อประเทศชาติ อย่าใช้มุขนี้อีกเลยคุณวัฒนา”
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ไม่ใช่แค่ “คำพูดไร้ยางอาย” แต่เป็นเพราะคนพูดไม่ได้แคร์ใครว่าจะรู้ทัน เธอกำลังสื่อสารกับ “ผู้สนับสนุน” ของเธอ ที่มีความภักดีสูง เธอกับพรรคพวกจึงไม่เคยแคร์ว่าใครจะจับได้ไล่ทันในคำพูดของเธอ เนื่องจากยังเชื่อมั่นว่า หากการเลือกตั้งมาถึงเมื่อไหร่ คนที่เคยเลือกพรรคเพื่อไทยก็ยังเลือกอยู่
คสช. ไม่ต้องไปยุ่งว่าประชาชนจะเลือกใคร แต่แทนที่ 3 ปีจะก้มหน้าก้มตาทำงานแบบ “เป่าสาก” ก็อยากให้บอกกับประชาชนอีกครั้งชัดๆ กระชับๆ ว่าเหตุใดต้องเข้า “ควบคุมอำนาจ” เปิดเผยความจริงออกมาเลย ว่าตรวจพบว่าใครกำลังก่อการอะไร จากนั้นให้ข้อมูลต่อไปว่า เมื่อเข้ามาควบคุมอำนาจแล้ว เจอ “ขยะใต้พรม” ให้ต้องแก้อีกเท่าไหร่ ดังนั้น 3 ปีที่ผ่านมา คสช. แค่เช็ดล้างคราบสกปรกที่หมกกันไว้ ก็แทบไม่เหลือเวลาทำอะไรอีกเลย
ยังไม่รวมด้วยว่า ต้องคอยแก้ไข “คำพูดหมาๆ” ที่ปราศจากความรับผิดชอบด้าน “ข้อเท็จจริง” อีก!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี