ผู้คนทั่วไปต่างสงสัยกันว่า ทำไมเกาหลีเหนือถึงกล้าทำตามอำเภอใจ โดยไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งสิ้น ไม่เกรงอกเกรงใจแม้กระทั่งพี่เบิ้ม จีน และแสดงอาการท้าตีท้าต่อยกับสหรัฐอเมริกา เจ้าโลก และตำรวจโลกอย่างไม่ยี่ระ โดยมุ่งมั่นจะครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ พัฒนาจรวดขีปนาวุธทั้งพิสัยใกล้และไกล ไม่ฟังเสียงใครและไม่แคร์การคว่ำบาตรจากคู่อริคือสหรัฐฯและฝ่ายตะวันตก จนถึงการคว่ำบาตรระดับโลกในกรอบองค์การสหประชาชาติ
สภาพที่เป็นอยู่ก็คือ เกาหลีเหนือไม่สะทกสะท้าน ยังลอยนวลเป็นประเทศพิเศษ ไม่เล่นตามกติกา เอาตนเป็นที่ตั้งแต่อย่างเดียว
ที่เกาหลีเหนือมุ่งหน้าทำเช่นนี้ ก็เพราะเขาเอาความอยู่รอดของตนเป็นที่ตั้ง ต้องการอยู่รอดได้ด้วยระบอบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการผู้นำคนเดียวที่สืบทอดอำนาจกันมา 3 ชั่วคน จากหนึ่งตระกูล“คิม”เท่านั้น
โดยตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้ร่วมชนะสงครามได้แก่ สหรัฐฯกับ(อดีต)สหภาพโซเวียต ตกลงแบ่งแยกเกาหลีเป็น 2 ส่วนคือ เกาหลีเหนือในค่ายโลกคอมมิวนิสต์ และเกาหลีใต้ในค่ายโลกเสรี เมื่อปี ค.ศ.1948(พ.ศ.2491) แต่แล้วเกาหลีเหนือกลับกรีฑาทัพเข้าโจมตี หวังยึดครองเกาหลีใต้ แต่ขณะนั้นฝ่ายโลกเสรีได้รับมติสหประชาชาติจัดตั้งกองกำลังสหประชาชาติเข้าสู้รบกับเกาหลีเหนือซึ่งมีจีนและโซเวียตหนุนหลังอยู่ จนนำไปสู่การเจรจาสันติภาพ แบ่งแยกเกาหลีเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เป็นการถาวรจนกระทั่งทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ในทางเทคนิค เกาหลีเหนือและสหรัฐฯยังมิได้เจรจาจัดทำข้อตกลงสันติภาพกัน จึงยังมีสถานะคู่สงคราม ขณะเดียวกันสหรัฐฯก็ได้เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นพันธมิตร โดยมีกองกำลังตั้งมั่นอยู่ทั้งในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น จากมุมมองเกาหลีเหนือเห็นว่าสหรัฐฯคุกคามและเผชิญหน้ากับตน จากมุมมองสหรัฐฯก็เห็นว่า จำต้องช่วยป้องกันพันธมิตรจากภัยคุกคามเกาหลีเหนือ ตลอดมาสหรัฐฯและฝ่ายตะวันตกมีนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงส่งเสริมการแพร่ขยายของสังคมเสรีประชาธิปไตย และช่วงยุคโลกาภิวัตน์ตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุดเมื่อ 20 กว่าปีมานี้ ฝ่ายสหรัฐฯไม่แค่“ส่งออก”และสนับสนุนขบวนการเสรีประชาธิปไตยเท่านั้น แต่มุ่งมั่นเข้าไปร่วมเปลี่ยนแปลงระบอบและโครงสร้างการเมืองในประเทศต่างๆ จากเผด็จการสู่สังคมประชาธิปไตยด้วย (Regime Change)
การนี้มีผลให้ผู้นำเกาหลีเหนือมุ่งที่จะให้ตัวเองอยู่รอด และระบอบเผด็จการของตนเองอยู่รอดด้วย เพราะหากระบอบการปกครองของตนเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น (เป็นสังคมประชาธิปไตย) ก็หมายถึง การสิ้นสุดอำนาจของตนเองและอุดมการณ์ความเชื่อถือที่สั่งสมกันมา 3 ชั่วคนของตระกูลคิม
ฉะนั้น ผู้นำเกาหลีเหนือจึงต้องดำเนินการทุกอย่างเพื่อรักษาสิ่งที่ตนเองมี โดยเชื่อมั่นว่า วิธีที่ดีที่สุดคือ ต้องมีแสนยานุภาพที่จะป้องกันตนเองและอยู่ในฐานะที่จะคุกคามจุดอ่อนฝ่ายตรงข้ามด้วย เพี่อใช้ป้องกันตัวและป้องปราม หรือเตือนมิให้ใครล้ำเส้นเป็นอันขาด โดยถือว่าตนพร้อมจะยอมตาย พร้อมเผชิญกับความเสียหายไม่จำกัด เพื่อให้คู่อริได้คิดว่า การต่อกรกับเกาหลีนั้นไม่คุ้มทุน ไม่คุ้มค่า
ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือจึงมุ่งใช้ทรัพยากรทั้งหมดเพื่อขยายแสนยานุภาพการทหารและอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์ ต้องหารายได้นำมาซื้อเทคโนโลยี พัฒนาเทคโนโลยี และรายได้นั้นต้องมาจากการส่งออกขายสินค้าต่างๆ และจากการช่วยเหลือของมิตรประเทศ เช่น จีน หรือเวเนซุเอลา ซึ่งต่างมีอุดมการณ์ร่วมเป็นคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยมจัด และต่อต้านอิทธิพลฝ่ายตะวันตกเสรีนิยม
ทางเศรษฐกิจแล้ว เกาหลีเหนืออยู่รอดมาได้ถึงปัจจุบันเพราะจีน โดยเฉพาะด้านอาหารและตลาดส่งออกสินค้าแร่ธาตุต่างๆ สินค้าประมงและการธนาคารต่างๆก็ต้องพึ่งพาจีนเป็นหลัก ซึ่งสหรัฐฯก็กำลังพยายามบีบคั้นทุกประเทศให้แช่แข็งบัญชีธนาคารของเกาหลีเหนือ
และบัดนี้ จีนจำใจร่วมคว่ำบาตรเกาหลีเหนืออย่างแข็งขันแล้ว ตามมติคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ซึ่งหมายถึงการให้ช่องทำมาหากินของเกาหลีเหนือ กำลังแคบลงทุกขณะ
ที่ผ่านมา จีนมักเป็นตัวสำคัญให้เกาหลีเหนือปรับเปลี่ยนท่าที อีกทั้งจีนก็เล็งเห็นว่า หากเกิดการสู้รบและกลียุคในคาบสมุทรเกาหลีแล้ว จะส่งผลกระทบต่อตนโดยตรง น่าจะมีชาวเกาหลีเหนืออพยพลี้ภัยไหลทะลักเข้าจีนจำนวนมาก อาจเป็นได้ว่าในที่สุด หากเกาหลีเหนือถูกปราบ พ่ายแพ้ ก็เท่ากับไม่มีรัฐกันชนให้ตน เพราะอิทธิพลของสหรัฐฯจะเข้ามาประชิดพรมแดนตนโดยตรง จีนจึงเร่งดำเนินการพูดจาโน้มน้าวเกาหลีเหนือ เนื่องจากมีกรอบมติคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติเป็นตัวช่วยอยู่ว่า มิได้ทำแบบก้าวต่อก้าว และไม่สามารถมีครหาได้ว่า จีนกำลังบีบผู้ร่วมอุดมการณ์หรือพันธมิตร
นอกจากนั้นจีนและประชาคมโลกควรตระหนักว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องบินหรือขีปนาวุธติดระเบิดนิวเคลียร์ขนาดจิ๋วของเกาหลีเหนือนั้น อาจเล็ดลอดหลุดพ้นจากการถูกทำลาย ทั้งจากจรวด และปืนของสหรัฐฯและพันธมิตร สู่เป้าหมายในเมืองต่างๆของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น แม้กระทั่งเกาะกวมของสหรัฐฯ แต่ประเด็นคือข้อจำกัดของปริมาณและขีดความสามารถในการต่อกรได้ยาวนาน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สหรัฐฯคงไม่ปล่อยให้เกาหลีเหนือโจมตีหรือรุกรานตนก่อนแน่ คงหาวิธีโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ไม่ให้ตั้งตัวได้
(Pre- Emptive Strike) ไปยังฐานจรวด ฐานที่มั่นทางทหาร และศูนย์วิจัยพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งไม่ว่าเป็นทางใด ประชาคมโลกก็มิได้ต้องการให้สงครามเกิดขึ้น เพราะจะส่งผลกระทบไปทั่วทั้งภูมิภาคและโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม
ดังนั้น ปัญหานี้ เวทีทางการทูตดูจะเป็นทางออกเดียว ซึ่งทุกฝ่ายต้องเพียรพยายามหาจุดร่วม หรือประเด็นที่จะยอมรับซึ่งกันและกันได้ อาทิ
1.การประกันความอยู่รอดของเกาหลีเหนือในระบอบและโครงสร้างที่เป็นอยู่
2.การเปิดเวทีถาวรเพื่อการเจรจาระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ตั้งแต่การแลกเปลี่ยนการเยือนพบปะครอบครัว ญาติมิตรที่ถูกตัดขาดจากกัน ไปจนถึงการมีกิจกรรมหรือมีท่าทีร่วมกันในเวทีระหว่างประเทศ และปูทางสู่การรวมรัฐประเทศ หรือสหพันธรัฐ เป็นต้น
3.การกำหนดประเภทอาวุธและจำนวนทหาร เพื่อป้องกันประเทศเท่านั้น และการขจัดอาวุธแบบโจมตี รุกราน
4.การลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยร่วมด้วยทหารเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ
5.การมีกองกำลังสันติภาพสหประชาชาติแทนการมีกองกำลังสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ และการมีฝ่ายทหารที่ปรึกษาจีนในเกาหลีเหนือ เป็นต้น
6.การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนเกาหลี แลกกับยกเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธใดๆ
7.การพัฒนาการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคเพื่อการสัญจรไปมาและการติดต่อต่างๆ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้
8.การจัดทำข้อตกลงสันติภาพสหรัฐฯกับเกาหลีเหนือเพื่อยุติสภาวะสงคราม เป็นต้น
สำหรับประชาคมอาเซียนสามารถเข้าไปมีบทบาทเสริม เพราะมีเวทีภูมิภาคอาเซียน(ASEAN Regional Forum)ที่จะใช้แลกเปลี่ยนความคิด ใฝ่หาลู่ทางเบื้องต้นได้ อีกทั้งสมาชิกอาเซียนอยู่ในฐานะจะให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร เวชภัณฑ์และเทคนิควิชาการต่างๆได้ ซึ่งเคยทำมาครั้งหนึ่งเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว หากเดินหน้าช่วยกันแก้ดังที่ว่า จะเป็นภารกิจสร้างสรรค์ของประชาคมอาเซียน ซึ่งช่วยขับเคลื่อนให้มติต่างๆของสหประชาชาติ ที่นำไปสู่การลดเผชิญหน้าและเสริมสร้างสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีและภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ทั้งนี้ ผู้นำเกาหลีเหนือต้องตระหนักและยอมรับได้แล้วว่า วิธีการเดิมแบบข้าไปคนเดียวนั้น มีข้อจำกัดและขอบเขต อีกทั้งจะเอาตัวเอง ตระกูลตนเองเป็นที่ตั้งถ่ายเดียว ไปแลกกับความสูญเสียของโลกนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี