ในยุคที่การทุจริตคอร์รัปชั่นกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในสังคมไทย ถึงขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นเรื่องธรรมดาๆ ทั่วไปในชีวิตประจำวันเช่นนี้ โดยสังคมไทยเราอ่อนแอมากๆ ในเรื่องจิตใจที่หย่อนยานต่อศีลธรรมและจริยธรรม ทำให้อดคิดสะท้อนไม่ได้ว่า ทำไมคนไทยส่วนหนึ่งถึงไม่กลัวบาป และไม่สะทกสะท้านต่อกฎหมายบ้านเมือง รวมทั้งไม่คำนึงหรือเห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมทั้งสิ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลในแวดวงราชการที่ควรมีหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลความยุติธรรมให้กับสังคม
แต่ที่เป็นประจักษ์ยิ่งๆ ขึ้นเป็นทวีคูณต่อสังคมก็คือ การที่บรรดาข้าราชการประจำต่างๆ ต้องเดินขึ้นศาลและเดินเข้าคุกเข้าตะรางกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เชื่อแน่ว่า หลายคนนั้นเข้าวัด เข้าโบสถ์ เข้าสุเหร่าเพื่อสวดมนต์ ทำบุญทำทาน อีกหลายคนต่างมีพระเครื่องและของขลังห้อยคอ ห้อยข้อมือ แต่เหตุใดไม่นำเอาศีลธรรมเข้าสู่จิตใจไปด้วย เพื่อใช้ต่อสู้กับพฤติกรรมฉ้อโกงเหล่านี้ เพื่อมิให้ประพฤติปฏิบัติเบี่ยงเบนไปจากการให้บริการ รับใช้สังคมและประชาชนพลเมืองผู้เป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของประเทศ
ในฐานะที่เคยเป็นข้าราชการประจำคนหนึ่งก็อดรู้สึกละอายใจและอดสูเชิงสมเพช สงสารเพื่อนๆและข้าราชการรุ่นน้อง ที่ต่างรู้อยู่แก่ใจว่า การกระทำที่ผิดทั้งศีลธรรมและกฎหมาย สามารถปกปิดได้เพียงช่วงหนึ่ง ภายใต้ปีกของผู้มีอำนาจช่วงนั้น แล้วเมื่ออำนาจนั้นผ่านไป ก็จะถูกคิดบัญชีความผิดอยู่ดี แต่ก็ยังอดกันไม่ได้ที่จะเลี่ยง กล้าเสี่ยงที่จะกระทำความชั่วร้ายให้หม่นหมองกับตนเอง ครอบครัว ญาติมิตร และประเทศชาติ
เมื่อถามแล้ว ก็พยายามหาเหตุผลว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนี้กัน คำตอบที่ได้มาโดยตรงจากเจ้าตัว คงไม่มี เพราะใครที่ทำผิด คงไม่อยากตอบ หากจะตอบก็คงอ้อมแอ้ม ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกทั้งโอกาส หรือสิทธิการไปถามไถ่ ก็คงไม่มี พาลจะกลายเป็นความไม่เหมาะสมไม่บังควร ดูเป็นการซ้ำเติมกันเกินไป
ก็เลยต้องมาประเมินประมวลกันเอาเองว่า ทำไมถึงทำการชั่วร้ายกันได้เช่นนี้?
โดยทั่วไป ข้าราชการที่ยอมเดินไปผิดทาง น่าจะเป็นเพราะความโลภ ที่อยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า ถ้าโดนจับได้ ก็ถือเสียว่ากรรมสนอง ยอมรับกรรมแต่ผู้เดียว ขณะที่ทรัพย์สินที่โกงมา กอบโกยมา ยังสามารถยักย้ายถ่ายเทไปให้ครอบครัวได้สุขสบายอยู่ ถือเสียว่าเป็นการเสียสละตนเอง
หรือบางคนคิดแค่สั้นๆ ง่ายๆ นั่นคือยอมทำชั่วเพื่อแลกกับการได้เลื่อนตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้น หรือหวังไปถึงตำแหน่งทางการเมืองรองรับในอนาคตอันใกล้บางคนน่าสงสารบ้างก็ตรงยอมทำผิด เพราะมีบุญคุณที่ต้องทดแทน ทำไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ ขณะที่บางคนก็อาจร่วมคิดร่วมทำ เพียงเพราะเล็งเห็นผลตอบแทนใหญ่โต
ส่วนพวกที่น่ากลัวขึ้นอีกระดับก็คือ พวกที่คิดบวกลบคูณหารแล้วว่า สามารถปิดช่องโหว่ได้หมด สาวความไปไม่ถึงตัวเป็นแน่ พวกนี้มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี
บางคนก็เข้าใจผิดไปว่า บารมีการเมืองจะคุ้มครองไปได้ตลอดรอดฝั่ง ขณะที่ฝั่งการเมืองนั้นไม่เคยมีใครอยู่ยงคงกระพัน ส่วนพวกที่เลวร้าย เกิดมาเป็นคนชั่ว คิดชั่ว ทำชั่ว เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เกรงกลัวอะไรใดๆ ทั้งสิ้น แถมมีคติ ด้านได้อายอด พวกนี้คงต้องข้ามไป เกินการเยียวยา
ส่วนที่ควรกระตุ้นความเข้าใจก็คือ คนที่คิดไม่ออกคิดไม่เป็น ว่าการกระทำชั่ว แล้วตัวเองได้ แต่มันกลับเป็นผลกระทบเลวร้ายต่อส่วนรวม คนเหล่านี้คำว่าส่วนรวมไม่เคยอยู่ในสารบบความคิด หรือมิได้อยู่ในจิตสำนึก
แล้วจะแก้ไขกันอย่างไร
การที่ศาลตัดสินความติดคุกตะรางให้เป็นที่ประจักษ์ความในสิ่งนี้ อาจส่งผลให้คนเหล่านั้นกริ่งเกรงได้บ้าง บางคนอาจคิดอ่านที่จะถอนตัวจากการขโมยและปล้นสังคม แต่นั่นคือปลายทาง
ซึ่งในต้นทางคู่ขนานกันไป สำนักงานข้าราชการพลเรือนและผู้รับผิดชอบด้านบุคลากรและจริยธรรมของทุกหน่วยงาน ต้องหันกลับมาเอาใจใส่เรื่องการปลูกฝังให้จิตใจเข้มแข็ง ให้มีจิตสำนึกต่อส่วนรวม มีความละอายใจและให้เล็งเห็นผลเสียผลร้ายนั้น ไม่ให้ใกล้ตัว แต่จะตกอยู่กับผู้อยู่รอบข้างไม่น้อยทีเดียว ขณะเดียวกันต้องมีการปฏิรูปจัดวางระบบราชการให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีข้อมูลให้เข้าถึงได้ครบถ้วนทุกเมื่อเวลา โดยเฉพาะต้องเปิดเวที เปิดเผยข้อมูลให้ผู้มีส่วนได้
ส่วนเสียเข้ารู้ เข้าตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้
นอกจากนั้น การนำตัวเลขการทุจริตมาเปิดเผยจะช่วยให้สังคมได้ตระหนัก แล้วยังจะรู้ว่า ถ้าไม่มีการทุจริต เงินที่รักษาไว้ได้จะนำไปพัฒนาสังคมได้ดีและมากกว่านี้ เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมยิ่ง
อีกทั้งในระบบราชการนั้น เป็นระบบการบังคับบัญชา และการที่ “ผู้ใหญ่” ผู้อยู่ในตำแหน่งสูงกว่า ต้องเป็นบุคคลแบบอย่าง ต้องเข้มงวดกวดขันว่า ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชานั้นประพฤติตนที่ดี การปล่อยปละละเลยเป็นการกระทำที่ผิด และการกระทำผิดเสียเอง เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดต่อประเทศชาติ
ณ วันนี้อยากวิงวอน ขอร้องเพื่อนข้าราชการทั้งหลายว่า อย่าทำชั่วเสียเอง อย่าร่วมตอบสนองการกระทำชั่วต่างๆ การเป็นข้าราชการคือ การรับใช้ประชาชน มิใช่การรับโกงให้กับกลุ่มทุน กลุ่มผู้มีอำนาจซึ่งในอนาคต การพิสูจน์หลักฐาน ตามรอยทุจริตจะทำให้การลอยนวลนั้น ยากขึ้นแน่นอน
สุดท้ายนี้นอกจากจะหวังให้กระบวนการยุติธรรมถูกปรับปรุงและพัฒนา ลดความซ้ำซ้อน และล่าช้า เพื่อให้ผลการตัดสินออกมาได้ทันท่วงที จนสามารถเป็นตัวอย่างที่ใช้ฉุดรั้งสังคมให้เกรงกลัวกฎหมายแล้ว ก็คงต้องฝากความหวังกับผู้นำทางศาสนา นักคิด นักปราชญ์ในการบ่มเพาะ และกับผู้ที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ขอให้บังคับใช้กันอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะรวย จน เป็นใครมาจากไหนก็ต้องอยู่ภายใต้กฎกติกาเดียวกัน โดยประเทศไทยต้องลบล้างภาพลักษณ์ที่ว่า “คุกไทยมีไว้ขังเพียงสุนัข และคนจน”ให้ได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี