สังคมไทยเป็นสังคมศักดินาตราบจนปัจจุบันทั้งๆ ที่ประวัติศาสตร์ไทยระบุว่า ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญา
สิทธิราชย์ หรือระบอบราชาธิปไตย เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาเป็นเวลาเกินกว่า 85 ปีแล้วก็ตาม
แต่ในทางปฏิบัติ สังคมไทยยังติดอยู่กับสังคมศักดินา หรือระบอบเจ้าขุนมูลนายแบบเดิมสู่เจ้าขุนมูลนายใหม่ กล่าวคือ เดิมระบบเจ้าขุนมูลนายกับไพร่ มาเป็นประชาชนกับข้าราชการและนักการเมืองทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น รวมทั้งนักธุรกิจที่ถือเงินตราเป็นอาวุธ กลุ่มคนดังกล่าวกลายเป็นกลุ่มชนชั้นปกครองหรือมีอำนาจในการปกครองและสามารถดลบันดาลให้เป็นไปตามสุภาษิตที่ว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่ากับพระยาเลี้ยง” และ “แข็งเท่าแข็งเงินง้างอ่อนได้ดังประสงค์” หรือ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ฯลฯ เป็นต้น
ฉะนั้น กรณีที่บริษัท เคทีดี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม “กระทิงแดง” สามารถเช่าพื้นที่สาธารณประโยชน์บ้านหนองแต้ ตำบลบ้านดง อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ได้อย่างง่ายดาย แม้จะมีกติกาว่าต้องมีการแสดงความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ก่อน ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วยก็ไม่สามารถให้เช่าได้
การอนุมัติเป็นอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการกระทรวงมหาดไทย เหตุการณ์ได้ดำเนินไปเป็นขั้นตอนจึงถึงขั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกล่าวว่า ได้อนุมัติตามข้อเสนอของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามลำดับ แต่เมื่อราษฎรในพื้นที่ทราบเรื่องก็รวมตัวกันคัดค้าน ซึ่งในตอนแรกรัฐมนตรีมหาดไทยไม่ทราบว่า ถูกผู้ใต้บังคับบัญชารายงานว่าไม่มีผู้ใดคัดค้าน ซึ่งไม่ตรงต่อข้อเท็จจริง จึงกล่าวว่าปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงประชาชนไม่ทราบเรื่องแสดงความคิดเห็นเลย เป็นการให้ข้อมูลเท็จของข้าราชการที่รับผิดชอบระดับล่าง
เมื่อเรื่องแดงขึ้น บริษัท เคทีดี ผู้อนุญาตก็ขอยกเลิกการเช่า แต่เรื่องคงไม่สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ทางราชการจะต้องดำเนินการสืบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไปว่ามีการรายงานเท็จ ณ จุดใด และต้องมีการลงโทษรุนแรงแก่ผู้กระทำผิด
ทั้งนี้ในอดีตคงจะมีหลายกรณีที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบหาประโยชน์ทั้งอามิสสินจ้างหรือมีมือที่มองไม่เห็นดำเนินการในเรื่องเช่นนี้มามาก ไม่ว่าเรื่องรุกป่า ทำลายป่า แต่ด้วยบารมีของผู้อนุมัติก็ดี อำนาจเงินตราก็ดี ส่งผลความเสียหายต่อประเทศชาติและสังคมอย่างมหาศาล
อย่างไรก็ดี การที่ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวรวมตัวกันรุกประท้วงความไม่ถูกต้องครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีของพื้นฐานของหลัประชาธิปไตย และอาจกล่าวได้ว่า แม้ปัจจุบันประเทศมิได้มีการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่ผู้มีอำนาจก็ยอมรับฟังความเห็นของประชาชน ซึ่งทั้งฝ่ายองค์อธิปัตย์และฝ่ายประชาชนต่างก็ใช้วิถีทางประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการแก้ไข ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจนถูกปฏิวัติเพราะทั้งสองฝ่ายต่างใช้กฎหมู่ ไม่ได้ใช้กฎหมายเป็นเครื่องตัดสิน
ถ้ามองในแง่รัฐศาสตร์ กล่าวได้ว่าถ้าองค์อธิปัตย์ใช้แนวทางดังกล่าวในกรณีอื่น แล้วสังคมไทยอาจจะเห็นแสงสว่างแห่งประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้ในอนาคตที่ไม่ไกลเกินเอื้อม จึงใคร่ขอให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างในการพัฒนาการเมืองของประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี