“อะไรที่ผมพูดไปแล้วทำให้ไปกระทบกระเทือนครอบครัวของน้องเมย ผมต้องขอโทษด้วย ผมยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ไม่เข้าข้างฝั่งทหาร ซึ่งในวันนี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้มีคำสั่งย้ายผู้การและผู้พันโรงเรียนเตรียมทหาร”
คำพูดนี้ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะได้รับการเผยแพร่ ทำซ้ำ และนำไปบอกกล่าวสู่กัน เท่ากับคำพูดก่อนหน้านั้นหรือไม่ เป็นเรื่องน่าคิดนะครับ
ผมเองในฐานะสื่อคนหนึ่ง นั่งดูและนำเสนอข่าวการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร ถึงการเสียชีวิตของน้องเมย-นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหาร เห็นปรากฏการณ์ที่ “สื่อ” ต้อง “ส่อง” บทบาทหน้าที่ของตัวเอง และเห็นประเด็นที่อยากจะบอกให้ พล.อ.ประวิตรระมัดระวังตนเองให้มากขึ้นหลายประการ
1) ขอเริ่มจากแสดงความเสียใจกับครอบครัวน้องเมยด้วยนะครับ ซึ่งน่ายินดีว่าจนถึงขณะนี้ สังคมไทยมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคุณพ่อคุณแม่และครอบครัวของน้องเป็นอย่างมาก ที่ต้องมาสูญเสียบุตรชายที่เป็นความหวังของครอบครัวไป ดูจากประวัติแล้ว น้องก็ไม่เคยเกกมะเหรกเกเรอะไรเสียด้วย การเสียชีวิตของน้อง จึงเป็นเรื่องที่ผู้คนสลดใจไปกับครอบครัว และรับรู้ถึงความสูญเสียนั้นร่วมกัน
2) การเสียชีวิตนั้น มีอยู่สองส่วนสำคัญที่ต้องหาคำตอบคือ ก) เสียชีวิตด้วยสาเหตุใด ในส่วนนี้ ภาพจากกล้องวงจรปิด ปากคำของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ช่วงสุดท้าย ชี้ชัดว่าน้องเมยมีสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง มีอาการเจ็บหน้าอก และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ก็เหลือแต่การผ่าพิสูจน์เท่านั้น ที่จะช่วยยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัดอีกครั้ง กับ ข) น้องเมยไม่เคยมีประวัติเจ็บป่วยหรือมีโรคประจำตัว แต่มีประวัติถูก “ซ่อม” ถูก “ธำรงวินัย” ต้องตอบให้ได้ว่า นั่นเป็นผลที่นำมาสู่ “สภาพร่างกายที่บอบช้ำ” อ่อนแอ จนถึงขั้นเป็นเหตุให้น้องเสียชีวิตหรือไม่ ส่วนประเด็นปลีกย่อยเรื่องผ่าศพ อวัยวะหาย ฯลฯ อื่นๆ นั้น เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจกันได้ ในขั้นตอนการปฏิบัติ จนกว่าจะเกิดความเข้าใจที่ตรงกันและลดความหวาดระแวงลง ซึ่งสื่อและโซเชียลมีเดีย ต้องไม่ไปปลุกเร้าความหวาดระแวงให้มากนัก
3) เรื่องใหญ่ที่สุดกลายเป็น “คำพูด” ของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งแน่นอนครับ เป็นคำที่ไม่ควรพูดเลย นอกเหนือจากเคยถูกซ่อมจนสลบมาก่อนอย่างที่ท่านเล่าแล้ว โรงเรียนไม่สอนเรื่อง “ศิลปะการพูดจา” มาบ้างหรืออย่างไรครับ จึงได้พูดจาขาดความระมัดระวัง ไม่สมวัย ไม่สมกับตำแหน่งหน้าที่ได้ถึงเพียงนี้
4) แต่เอาเข้าจริง ถ้าดูที่ “เจตนา” เท่าที่ผมนั่งอ่านข่าว และบอกเล่าข่าวนี้ผ่านรายการวิทยุ-โทรทัศน์ที่ทำอยู่ ผมไม่พบว่า พล.อ.ประวิตรมีเจตนาจะพูดอะไรพล่อยๆ อย่างนั้นหรอก เพียงแต่ท่านแก่ ท่านป่วย สมองท่านช่วงหลังๆ ทำงานประหลาดๆ จนหลุดคำพูดที่เพิ่มพูนความเกลียดชังต่อตัวท่าน ซึ่งมีทุนเดิมกองสูงอยู่แล้ว ให้ยิ่งเป็นที่เกลียดชังมากขึ้นไปอีก ในยามที่สื่อมวลชนรุมล้อม และ “ยิงคำถาม” เข้าใส่ โดยที่ท่าน “ระงับคำพูด” และใช้สิทธิ์ “ไม่ตอบ” ไม่เป็น
5) ผมได้เปิดคลิปย้อนหลังว่า วันที่เกิดคำพูดเจ้าปัญหานั้น พล.อ.ประวิตรเริ่มต้นการสนทนากับนักข่าวอย่างไร ก็พบว่าท่านเริ่มจากการชี้แจงว่า ทางผู้บัญชาการทหารสูงสุดเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ยืนยันจะทำให้ถูกต้องทั้งตามระเบียบและตามกฎหมาย จากนั้นตอบคำถามเรื่องอวัยวะที่หาย ว่าเขาส่งมอบให้แล้ว ก่อนหน้านี้นำไปตรวจสอบ ส่วนทางโรงเรียน ก็เข้าไปดูแล ช่วยเหลือ ไปพบกับครอบครัว ไปร่วมจัดงานศพ ด้วยความเห็นอกเห็นใจ “ผมก็เห็นใจนะ ลูกคนหนึ่งก็ต้องเสียดายนะ แล้วก็เป็นนักเรียนเตรียมทหารด้วย”
6) ประโยคนี้ของ พล.อ.ประวิตร กลับไม่ถูกทำซ้ำ ไม่ถูกนำไปขยาย กระจาย เท่ากับคำพูดที่สร้างความรู้สึก “เลวร้าย” ที่พูดในเวลาต่อมา ซึ่งเพจ givtmedraw อุตส่าห์ไปสืบค้นด้วยการนั่งดูคลิปให้สัมภาษณ์ แล้วถอดเป็นคำพูดออกมาว่า...
นักข่าว : ท่านครับจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตรงนี้ ของการเสียชีวิตเนี่ยคือเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพของเด็กถูกป่ะ
ท่านรอง : สุขภาพของเด็ก.... แล้วก็ถามตอบไล่ยาวไปอีก 3 นาที ซ่อมๆ ซ้อมๆ จนท่านรองบอกว่า....
ท่านรอง : เอาเรื่องให้เจ้าหน้าที่ คุณอย่ามาซักผม ซักผมแล้วได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
นักข่าว : แต่เรื่องการซ่อมมัน (ฟังไม่ออก) ระหว่างกับการละเมิดสิทธิมนุษย์นะครับ
ท่านรอง : ไม่เกี่ยวๆ ไอนี่มาเรื่องสิทธิมนุษยชนอะไร..ไม่เกี่ยว
นักข่าวอีกคนแทรก : ท่านคะ การซ่อมวินัยมันมีขอบเขตอะไรบ้าง มันมีลักษณะ หรือว่าไม่ต้อง(ฟังไม่ออก) อะไรบ้าง
ท่านรอง : เค้าคง (ฟังไม่ออก) ผมก็โดนมา วิดพื้นอะไรพวกนี้ออกวิ่งหรืออะไรเท่านั้น เค้าไม่มีการไปถูกตัวหรอก ให้วิ่งให้สก๊อตจัมป์ไห้วิดพื้นให้อะไรพวกนี้ เออ ไม่มีอะไรหรอก
นักข่าวอีกคน : แต่ถ้าสุดท้ายตรวจสอบพบว่ามันเกินกำลังที่มนุษย์คนนึงจะรับเนี่ยจะทำยังไงคะ ถ้ามี..
ท่านรอง (เริ่มหงุดหงิด) : อะ ผมก็เกิน ผมก็สลบ ไม่เห็นมานั่นตอนผมโดนน่ะ
นักข่าว(ต่อ) : แต่นี่เค้าเสียชีวิตเลยอ่ะค่ะท่าน ถ้าๆสุดท้าย...
ท่านรอง : ก็ผมมันไม่ตายไง เฮ้อ
นักข่าวอีกคน : หมายถึงว่าถ้าเข้ามาเรียนแล้วก็ต้องพร้อมทุกอย่าง...
ท่านรอง : (อารมณ์เย็นลง) เค้าก็ต้อง เอ่อ..หมอเค้าก็ต้องตรวจ ให้ร่างกายพร้อม เรื่องแบบนี้ถ้ามันเป็นฮีทสโตรกเกิดขึ้นเนี่ย ร่างกายมันก็อ่อนแอลงได้
นักข่าว : แต่ที่ผ่านมาสัดส่วนน้อยใช่มะ ที่นักเรียน...
ท่านรอง : สัดส่วนน้อย ไม่มีๆ ปกติไม่มี จะโดนซ่อมกันอย่างนี้ก็แข็งแรงทุกคน
นักข่าว : สมัยก่อนโดนซ่อมแบบนี้มั้ยคะท่าน
ท่านรอง : น่าๆ ผมไม่อยากเล่าหรอก
นักข่าวอีกคน : ท่านคะสังคมเริ่มตั้งคำถามค่ะว่าปีนี้มี....
นักข่าวอีกคน : แล้วเรื่องแบบนี้จะทำยังไงไม่ให้มันเกิดขึ้นครับ เพราะดูเหมือนมันเกิด...
ท่านรอง : ก็ไม่ต้องเข้า
เสียงผู้หญิงแทรก : หนีทหาร
ท่านรอง : ก็หาคนที่..เต็มใจ(หรือเตรียมใจ) จะมา
นักข่าว : หมายความว่าถ้าจะเข้าไปเป็นทหารหรือว่าเตรียมทหารเนี่ยค่ะ ต้องเตรียมใจรับมือกับการธำรงวินัยแบบนี้ใช่มั้ยคะ
ท่านรอง : ใช่ ใช่ถูกต้อง
นักข่าวหญิงอีกคน : แต่เค้าควรที่จะไปตายแบบ ไปรบกับข้าศึก 3 จังหวัดชายแดนใต้มากกว่า....
ท่านรอง : (ขึ้นอีกครั้ง) ก็คนนี้เป็นไม่สบาย
เจ้าหน้าที่ : พอแล้วนะ ขอบคุณครับ พอละๆ
ท่านรอง : นี่ไม่สบาย คนจะตาย ใช่เรื่อง ถ้าเลือกตายผมก็เลือกตายในสนามรบเหมือนกัน แล้วคุณว่าไง
นักข่าวคนเดิม : ก็ไม่สมควรที่จะตายที่โรงเรียน
ท่านรอง : มันเรื่องเป็นเดือนแล้วคุณเพิ่งจะมาสอบอะไรตรงนี้ เอายังไง
เจ้าหน้าที่ : ครับ ขอบคุณครับผม ขอบคุณครับ
จากคลิปประมาณ เกือบ 6 นาที คนถามก็พยายามจี้ คนตอบก็พยายามบอกให้ไปถามคนที่มีข้อมูล ไปๆ มาๆ จากเรื่องหนึ่งเลยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก็เลยเหลือแค่คำว่า “ผมก็โดนซ่อม แต่ผมก็ไม่ตาย”
7) เล่าเรื่องนี้เพื่อจะบอกว่า คำพูดของพล.อ.ประวิตรนั้น ตัวท่านเองไม่รู้จักเลือก ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด ท่านลืมไปว่า ก่อนออกมาจากปาก เราเป็นนายของคำพูด แต่เมื่อออกจากปากไปแล้ว คำพูดเป็นนายเรา ดังนั้น สิ่งที่ท่านพูดหลายนาที เมื่อมัน “ถูกเลือก” ไปนำเสนอแบบไม่ต่อเนื่องตามจริงทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่าบริบทของการพูดเป็นอย่างไร ความบรรลัยก็เกิดขึ้นกับท่านทันที (และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก)
8) ก็ยังดีที่ท้ายที่สุด ท่านก็ออกมาขอโทษขอโพย ด้วยท่าทีที่เห็นชัดว่า ท่านเสียใจในคำพูดของท่านจริงๆ และคงได้สติแล้วว่า คำพูดมันฆ่าตัวเองได้
9) แต่สิ่งที่มันต้องพูดกันต่อคือ การทำหน้าที่ของ “สื่อ” เห็นชัดว่า การเลือกของสื่อมีผลต่อชีวิตของใครหลายคน ในเหตุการณ์นี้ หากสื่อวางบทบาทของตัวเองใหม่ ด้วยการเป็น “คนกลาง” นำความไม่เข้าใจ ไม่สื่อสารให้ดีๆ ทั้งของฝ่ายผู้สูญเสีย กับฝ่ายผู้รับผิดชอบและตรวจสอบ มาสู่การได้คำตอบและข้อสรุป ไม่ค้าขายความขัดแย้ง ความโกรธเกลียด เศร้าใจ ด้วยความเคารพและเห็นใจว่าครอบครัวเขาสูญเสียอยู่แล้ว เศร้าอยู่แล้ว ในยามนี้เราช่วยเขาหาคำตอบดีๆ ไม่เอาทุกข์เอาเศร้าของเขามาหากินที่หน้าจอ บนแผ่นกระดาษ หรือออกอากาศลอยลมไปจะดีกว่า สื่อก็จะนำตัวเองไปหาคำตอบตามหลักกฎหมาย หลักวิชาการว่า เมื่อมีคนเสียชีวิตที่ดูแล้วอาจไม่ได้เกิดจากตามธรรมชาติ และอยู่ในการดูแลของหน่วยงานราชการ (ในที่นี้คือโรงเรียนเตรียมทหารและโรงพยาบาล) ขั้นตอนที่ต้องตรวจพิสูจน์ ลงบันทึกประจำวัน หาสาเหตุ เป็นอย่างไร การผ่าพิสูจน์ การนำอวัยวะออกจากร่าง การคืนร่าง ขั้นตอนที่ถูกควรเป็นอย่างไร ผลการสอบของทางโรงเรียนจะออกมาอย่างไร เขาสอบกันอย่างเปิดเผยเป็นขั้นเป็นตอนไหม เพราะเราอยากให้ครอบครัวของน้องเมยได้รับความยุติธรรม ด้วยการรู้เหตุการณ์ทั้งหมดเท่าที่จะสอบสวนมาได้ จากนั้นในอนาคตจะทำอย่างไร กับระบบ “ธำรงวินัย” แบบนี้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีลูกของใครเสียชีวิตอย่างไม่สมควรต้องเสียอีก
แต่พอสื่อเอาแต่ถามคนนั้นที ถามคนนี้ทาง แล้วจับคำพูดของคนมาปั่น ให้กัดกันเหมือนจิ้งหรีด กลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าความสนใจสูง ทุกข์ของครอบครัวเขาก็ทับถมทวีคูณ
อยากเห็นทุกฝ่ายหยุดพูดเรื่อยเปื่อย โดยมีสื่อเป็นคนกลาง จูงมือคนสองข้าง แล้วบอกว่า ไปครับ ไปค่ะ เราไปค้นหาความจริงด้วยกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี