การเปิดเสรีน้ำตาล หรือการลอยตัวราคาน้ำตาล เพื่อให้มีการแข่งขันในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในประเทศไทย เพื่อให้ราคาน้ำตาลทรายในประเทศเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลก เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีข้อเสนอมาแทบทุกยุค
โดยเฉพาะในยามที่ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกแพงกว่าราคาน้ำตาลทรายในประเทศ บรรดาโรงงานน้ำตาลและชาวไร่อ้อยก็ส่งเสียงสนับสนุนการเปิดเสรีกันอึงมี่เลยทีเดียว
มาช่วงนี้ หากมีการลอยตัว ก็จะไม่กระทบต่อผู้บริโภค อันหมายถึงอุตสาหกรรมในประเทศที่ใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าด้วย เพราะราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำกว่าราคาในประเทศนั่นเอง
หากลอยตัวจริง นอกจากราคาขายปลีกน้ำตาลทรายในบ้านเราจะไม่ขยับขึ้นแล้ว ยังจะต้องถูกลงด้วย
แต่ผ่านมาทุกยุค รัฐบาลก็ยังคงรักษาระบบผูกขาดน้ำตาลทรายในประเทศไว้อย่างเข้มแข็ง เพิกเฉยต่อผลประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคในประเทศ ก็เห็นดีแต่พูด ดีแต่นำเสนอกันเท่ๆ มาโดยตลอด
1. ล่าสุด มีการขยับที่เป็นรูปธรรมน่าสนใจ
การประชุม ครม.เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (4 ธ.ค.2560) พบว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เสนอแนวทางการบริหารจัดการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ต่อที่ประชุม ครม.
ตรวจสอบข้อมูลการประชุม ครม.แล้ว ทราบว่า แนวทางดังกล่าวประกอบด้วย การยกเลิกการกำหนดโควตาโดยให้โรงงานต้องมีการสำรองน้ำตาลทรายตามปริมาณ Buffer Stock ที่กำหนดปริมาณน้ำตาลทรายส่วนที่จะใช้เพื่อจำหน่ายส่งออก โดยให้คงจำนวน 400,000 ตันเท่าเดิม
แนวทางการคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย รวมทั้งปรับปรุงร่างประกาศและร่างระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดให้คณะกรรมการกำหนดราคาขายเปลี่ยนวิธีการในการคำนวณรายได้ขั้นต้นและรายได้ขั้นสุดท้าย โดยการอ้างอิงราคาน้ำตาลทรายขาวตลาดลอนดอน หมายเลข 5 บวกกับค่าพรีเมียมน้ำตาลทรายไทย และยกเลิกมาตรการให้เงินช่วยเหลือ 160 บาทต่อตันอ้อยที่ได้รับจากรัฐบาล
ยกเลิกการกำหนดน้ำตาลทรายโควตา ก. น้ำตาลทรายโควตา ข. และน้ำตาลทราย โควตา ค.
กำหนดให้มีน้ำตาลทรายภายในประเทศ น้ำตาลทรายที่ส่งมอบให้บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด น้ำตาลทรายเพื่อการส่งออกและน้ำตาลทรายสำรอง (Buffer Stock)
รวมทั้งยกเลิกการกำหนดราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศ และปล่อยให้ราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศเป็นไปตามกลไกของตลาด
ให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายมีหน้าที่ในการสำรวจราคาเฉลี่ยของน้ำตาลทรายภายในประเทศที่ขายจริงใน 1 เดือน และกำหนดวิธีการคำนวณเงินเพื่อให้ทุกโรงงานนำส่งเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นประจำทุกเดือน
กระทรวงอุตสาหกรรมระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศเป็นไปโดยสอดรับกับข้อตกลงทางการค้าภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และเป็นที่ยอมรับของสากลมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศ โดยสามารถสร้างงานและสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
ผลการประชุม ครม.ในเรื่องนี้ ปรากฏว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย จำนวน 1 ฉบับ และร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย จำนวน 3 ฉบับ รวม 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ดังนี้
1. ร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการจัดทำประมาณรายได้ การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงาน พ.ศ. ....
2. ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายว่าด้วยการผลิต การบรรจุ การเก็บรักษาสถานที่เก็บรักษา การสำรวจ การขนย้าย การส่งมอบและการจำหน่ายน้ำตาลทราย พ.ศ. ....
3. ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายว่าด้วย หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการอนุญาตให้ส่งออกน้ำตาลทราย พ.ศ. ....
4. ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ....
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ถ้าเป็นตามนี้ เท่ากับว่า ราคาน้ำตาลทรายในบ้านเราอิงตามราคาน้ำตาลทรายขาวตลาดลอนดอน บวกค่าพรีเมียม หรือส่วนเพิ่มทางการตลาดให้กับผู้ซื้อ
ลองคำนวณว่า ราคาตามสูตรลอนดอนนัมเบอร์ไฟว์ บวกไทยพรีเมียม ราคาหน้าโรงงานจะอยู่ที่ 13.50-14.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยการขายจริงของโรงงานนั้นต้องเป็นไปตามกลไกตลาด และโรงงานจะต้องจ่ายเงินส่วนต่างเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อสะสมไว้ดูแลระบบ ประมาณ 3 บาทต่อกิโลกรัม
เมื่อนำมาขายปลีก มีต้นทุนค่าบรรจุภัณฑ์ การตลาด ขนส่ง เฉลี่ยอยู่ที่ 3.50 บาทต่อกิโลกรัม
คาดว่าราคาขายปลีกน้ำตาลทรายขาวเฉลี่ยจะอยู่ที่ 20.50-21 บาทต่อกิโลกรัม
ถูกกว่าราคาปัจจุบัน
แต่แน่นอน หากในอนาคต ราคาน้ำตาลในตลาดโลกสูงขึ้น ราคาน้ำตาลในประเทศก็จะต้องขยับตาม
3. โดยปกติ ชาวบ้านทั่วไปซื้อน้ำตาลบริโภคน้อยมาก คาดว่า การซื้อมาบริโภคโดยตรงน่าจะไม่เกิน 8-12 กิโลกรัม/คน/ปี แต่การบริโภคน้ำตาลทางอ้อม (เช่น การบริโภคเครื่องดื่ม อาหาร ขนม) สูงกว่าการบริโภคโดยตรงของครัวเรือนนับเท่าตัว ดังนั้น การลอยตัวราคาน้ำตาลจะมีผลทำให้อุตสาหกรรมเหล่านี้ได้ซื้อน้ำตาลในราคาใกล้เคียงกับราคาส่งออก น่าจะมีความเป็นธรรมมากขึ้น
แต่ในอนาคต เมื่อราคาในประเทศขึ้นลงตามราคาตลาดโลก ผู้บริโภคได้ประโยชน์ในช่วงที่ราคาตลาดโลกต่ำก็จริง หากราคาตลาดโลกขยับขึ้น ราคาในประเทศก็จะต้องขยับตาม มิฉะนั้น พ่อค้าย่อมจะส่งออกไปขายกันเสียหมด การยกเลิกการควบคุมราคาภายในประเทศจึงทำให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายไม่ต้องรับภาระในการอุดหนุนผู้บริโภคและอุตสาหกรรมอื่นในช่วงที่ราคาตลาดโลกสูงกว่าราคาควบคุมในประเทศอีกต่อไป
มองในมุมนี้ ชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลก็จะมีรายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เป็นธรรมทุกฝ่าย
4. สิ่งที่รัฐบาลควรอธิบายให้ชัดเจนเพิ่มเติม คือ การคุ้มครองผู้บริโภครายย่อย ครัวเรือน ชาวบ้าน ที่ไม่ได้ซื้อน้ำตาลทีละเยอะๆ ไม่มีการเก็บสต๊อกมากๆ ซึ่งอาจจะเสียเปรียบจากการดึงราคาในบางช่วงเวลาเพื่อเก็งกำไร หรือผู้ค้าปลีก ตรงนี้ จะต้องหามาตรการเข้าไปกำกับดูแล เพื่อความเชื่อมั่น เป็นหลักประกันผู้บริโภค
ควรให้มีการนำเข้าน้ำตาลอย่างเสรี เพื่อเพิ่มการแข่งขันในระบบ เพราะถ้าเมื่อไหร่ราคาน้ำตาลโลกลงแล้ว แต่ราคาในประเทศไม่ลงตาม หรือบางเวลาอ้างว่าของหมด เมื่อเห็นว่าราคาตลาดโลกกำลังจะขยับขึ้น ก็อาจจะทำให้ผู้บริโภครายย่อยเดือดร้อน ทั้งๆ ที่ น้ำตาลทรายเป็นสินค้าจำเป็นพื้นฐานต่อโภชนาการของประชาชน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี