ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ซึ่งประกอบด้วย 5 ประเทศ ได้แก่ นอร์เวย์,สวีเดน,เดนมาร์ก,ฟินแลนด์ และไอร์แลนด์ โดย 3 ประเทศแรก ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ 2 ประเทศหลังปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยแต่เป็นระบบสาธารณรัฐ อย่างไรก็ดีทุกประเทศต่างก็มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีเครื่องมือที่สำคัญ คือ พรรคการเมือง
ทั้งนี้กล่าวได้ว่า หัวใจของการปกครองระบอบนี้ของประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียถือว่าพรรคการเมืองเป็นองค์กรที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นผู้ใช้อำนาจแทนประชาชน สมาชิกของพรรคการเมืองได้รับการยอมรับว่ามีส่วนสำคัญในการปกครองประเทศ
การปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยพรรคการเมืองเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 วิวัฒนาการของพรรคการเมืองในสแกนดิเนเวียแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะแรก เป็นเวลาแห่งการริเริ่มรวมตัวกันของกลุ่มการเมืองระหว่าง ค.ศ. 1870 ถึง ค.ศ. 1900 สาเหตุการรวมตัวเกิดจากผลแห่งการปฏิรูประบบรัฐสภาและระบบเลือกตั้ง ระยะนี้การแสวงหาอำนาจทางการเมืองส่วนใหญ่เกิดในชนบท เนื่องจากกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “พวกซ้าย” รวมตัวกันท้าทายกลุ่มครองอำนาจการปกครองซึ่งเรียกตัวเองว่า “พวกขวา”
ระยะที่สอง เริ่มในศตวรรษที่ 19 เกิดจากความเจริญทางเศรษฐกิจ เกิดการเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคมอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการรวมตัวของพลเมือง เกิดเมือง และทางการเมืองเกิดการรวมตัวของคนเป็นกลุ่มๆตามแนวความเชื่อและตามอาชีพ
การเปลี่ยนแปลงระยะที่ 3 เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 เกิดพรรคการเมืองในระบบปัจจุบัน พรรคการเมืองปัจจุบันวิวัฒนาการมาจากกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มพลังเป็นสำคัญ ผลคือ ทุกพรรคการเมืองที่มีสมาชิกในรัฐสภาได้รับการสนับสนุนจากองค์กรทางการเมืองนอกรัฐสภา ทำให้ความสำคัญของพรรคทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่การปฏิรูปกฎหมายเลือกตั้งในระหว่าง พ.ศ.2450 ถึง 2452 โดยนำระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนมาใช้ มีผลทำให้นักการเมืองที่สมัครรับเลือกตั้งอิสระจะไม่ได้รับเลือกตั้ง พรรคการเมืองในประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียมี 5 พรรค แต่ละพรรคการเมืองมีรากฐานมาจากอิทธิพลของกลุ่มชนต่างๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม
วิวัฒนาการทางการเมืองระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงและยั่งยืนของประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียที่เกิดจากรากฐานที่มาจากกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มพลังในสังคม จึงมีผลทำให้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศเหล่านั้นมั่นคงและยั่งยืน
เมื่อหันกลับมาดูการเมืองประเทศไทยที่เกิดจากพื้นฐานต่างกัน เพราะการเมืองของไทยมิได้เกิดจากฐานรากของเศรษฐกิจสังคม ทั้งนี้ถ้าศึกษาวิวัฒนาการทางการเมืองของไทย จะพบว่าเกิดจากสังคมอำมาตยาธิปไตย ที่กล่าวเช่นนี้เพราะว่านับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่อ้างว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น เกิดจากคณะราษฎรซึ่งประกอบด้วย ทหารและพลเรือน ซึ่งเป็นข้าราชการเสียส่วนใหญ่ เมื่อได้ยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศก็กลายเป็นระบอบอำมาตยาธิปไตย เพราะสังคมมิได้เปลี่ยนแปลงจากระบบเดิม
การปฏิวัติรัฐประหารหลายสิบครั้งในเวลาต่อมา ก็เป็นการแย่งชิงอำนาจระหว่างบรรดาอำมาตย์โดยอาศัยประชาชนเป็นเครื่องมือ จึงอาจกล่าวได้ว่า การปกครองของไทยนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เป็นต้นมา เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยแต่ในนามกับการปกครองระบอบเผด็จการทั้งทหารและพลเรือน (ทหารใช้อาวุธเป็นเครื่องมือ ส่วนพลเรือนใช้เงินตราเป็นอาวุธ) โดยมีประชาชนเป็นข้ออ้าง (อาจจะมีผู้ท้วงว่ามีบางเวลาอาจมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ก็เป็นเวลาช่วงสั้นๆ)
การปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ไม่เคยเกิดในทางปฏิบัติ นอกจากคำพูดของผู้มีอำนาจ หรือตัวหนังสือที่เขียนขึ้นเท่านั้น ยิ่งในปัจจุบันมีอดีตนักการเมืองเสนอให้นักการเมืองไม่ต้องสังกัดพรรค หรือนโยบายที่ลดบทบาทของพรรคการเมืองถือว่า ขัดกับหลักการแห่งประชาธิปไตย ยิ่งถ้าผู้พูดเป็นนักการเมืองเสนอหลักการเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า นักการเมืองไทยไม่เคยมีความเข้าใจถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยเลย
น่าสงสารประชาชนชาวไทยที่ใฝ่หาการปกครองระบอบนี้มาเป็นเวลากว่า 85 ปี แต่ประชาธิปไตยของไทยเปรียบเสมือนพายเรือในอ่างจนกระทั่งปัจจุบัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี