เมื่อวานนี้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. แถลงข่าวภายหลังการสอบปากคำนายเปรมชัย กรรณสูต และพวกรวม 4 คน คดีเข้าไปล่าสัตว์ป่าในเขตอนุรักษ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก หลังจากสำนักงานอัยการอัยการสูงสุดสั่งให้สอบปากคำเพิ่มเติม
พล.ต.อ.ศรีวราห์ เปิดเผยว่า ในประเด็นที่อัยการสั่งให้ประเมินค่าเสียหายคดีทางแพ่งเกี่ยวกับระบบนิเวศน์ทาง สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าได้ประเมินมูลค่าความเสียหายในอัตราขั้นต่ำ 3 ล้านบาท
น่าสนใจว่า คดีนี้ จะนำไปสู่การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งมูลค่าเท่าใด? คิดประเมินมูลค่าความเสียหายอย่างไร?
1.สัตว์ป่าที่พบว่าถูกชำแหละเสียชีวิตในคดีนี้ ประกอบด้วย เสือดำ หมูป่า ไก่ฟ้า
จะตีมูลค่าความเสียหายอย่างไร?
หากจะใช้ราคาซื้อขายในท้องตลาด จะเหมาะสมหรือไม่ เพราะเป็นสัตว์ที่ห้ามมิให้ซื้อขายกัน
เป็นสัตว์ป่าหายาก เกิดในธรรมชาติ ไม่สามารถหามาทดแทนได้
แถมเสือดำเป็นตัวเมีย มีโอกาสสืบลูกหลานต่อไปอีกมาก จะตีมูลค่าอย่างไร?
ผลกระทบต่อเนื่องในห่วงโซ่อาหาร ระบบนิเวศน์มูลค่าทางการท่องเที่ยวชื่อเสียงของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งเสียหายไปทั่วโลก ฯลฯ จะตีมูลค่าอย่างไร?
2. เท่าที่ตรวจสอบดู พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ไม่พบบทบัญญัติที่กำหนดหลักเกณฑ์การชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐสำหรับการกระทำความผิดที่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตสัตว์ป่า และทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย เสียหาย หรือสูญเสียไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยตรง
การเรียกร้องค่าเสียหายจากการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า อาจต้องอาศัยเทียบเคียงบทบัญญัติในพระราชบัญญัติส่งเสริมรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 97 ที่กำหนดให้ผู้ที่ทำลาย ทำให้สูญหาย หรือทำให้เสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นของรัฐ หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย สูญหาย หรือเสียหายไป
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า เมื่ออัยการให้สอบเพิ่มเติมในประเด็นนี้ คงจะเห็นช่องทางในการดำเนินการบังคับเอาตามกฎหมายต่อไปอย่างแน่นอน
3.การประเมินมูลค่าความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศน์ในต่างประเทศ มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากมาย เช่น
3.1 คดี Exxon Valdez เกิดอุบัติเหตุกับเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ของบริษัท Exxon Valdez จนทำให้น้ำมันดิบจำนวนมหาศาลทะลักรั่วไหลและแพร่กระจายสู่ท้องทะเลในบริเวณอ่าว Prince William Sound และได้มีการนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ กลุ่มชาวประมงเรียกร้องเงินค่าเสียหายจำนวน 895 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการสูญเสียรายได้เนื่องจากปริมาณปลาหรือสัตว์น้ำทะเลที่จับได้ลดลง และราคาปลาที่ลดลงอันเป็นผลที่ตามมา ปรากฏว่า ศาลยอมรับหลักการประเมินค่าเสียหายโดยใช้ระบบราคาตลาดมาเป็นฐานในการคิดคำนวณ ทั้งๆ ที่ ในคดีอื่นทั่วไปที่มักจะใช้วิธีการประเมินค่าเสียหายโดยไม่ใช้ระบบราคาตลาดมาเป็นฐานในการคิดคำนวณ เพราะทรัพยากรธรรมชาติไม่ใช่สินค้าที่ซื้อขายหรือตีค่าเป็นราคาในท้องตลาดได้ ผลสุดท้ายคณะลุกขุนตัดสินให้โจทก์ได้รับค่าชดเชยความเสียหายเป็นจำนวน 286.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
คดีเดียวกัน ยังปรากฏด้วยว่า มีข้อเรียกร้องของกลุ่มชนพื้นเมืองมลรัฐอลาสก้า เรียกร้องค่าเสียหายเป็นมูลค่าของพันธุ์ปลาที่จะต้องหามาทดแทนพันธุ์ปลาที่สูญเสียไป โดยยึดถือราคาปลาในตลาดเมือง Anchorage แต่ในที่สุดได้เปลี่ยนแนวทางในการคิดคำนวณมาเป็นหลักการประเมินความเสียหายโดยไม่ใช้ระบบราคาตลาดมาเป็นฐานในการคิดคำนวณ ทำให้จำนวนเงินที่เรียกร้องสูงถึง 80-100 ล้านเหรียญสหรัฐ ในที่สุดศาลชี้ขาดว่า วิธีการคำนวณโดยไม่ใช้ระบบราคาตลาดมาเป็นฐานในการคิดคำนวณดังกล่าวไม่มีทฤษฎีทางกฎหมายพาณิชย์นาวีรับรอง ต่อมาคู่ความจึงตกลงประนีประนอมยอมความกันในมูลค่าความเสียหายที่ประเมินด้วยระบบราคาตลาดเท่ากับจำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ
3.2 คดี United States v. Fisher
บริษัท Salvors, Inc. ทำการขุดหาทรัพย์สมบัติใต้ท้องทะเล บริเวณเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำและพื้นที่แนวปะการังชายฝั่ง Coffin’s Patch ทำให้เกิดความเสียหายแก่หญ้าทะเลและส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทางทะเลของมลรัฐฟลอริดา ทางการได้ฟ้องเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหาย ด้วยวิธีการประเมินมูลค่าความเสียหายตามกฎระเบียบของ NOAA ปี 1996 ซึ่งมุ่งคำนวณความเสียหายโดยคิดมูลค่าต้นทุนค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสภาพความเสียหายของชายฝั่งให้กลับสู่สภาพเดิม มากกว่าการประเมินมูลค่าทรัพยากรที่เสียหายไป
เขาใช้การประเมินจากต้นทุนค่าใช้จ่ายในการนำหญ้าทะเลไปปลูกทดแทนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงแห่งอื่น โดยเลือกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการเดินเรือนั่นเอง และใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการกำหนดขนาดโครงการฟื้นฟูหญ้าทะเล เพื่อนำไปใช้คำนวณค่าชดเชยความเสียหายของหญ้าที่สูญหายไปและประโยชน์จากหญ้าทะเลที่สูญเสียไปในช่วงการฟื้นฟูอีกด้วย ปรากฏว่า คิดมูลค่าชดเชยจากโครงการดังกล่าวเป็นเงิน 351,648 เหรียญสหรัฐ ในที่สุดศาลตัดสินให้โจทก์ได้รับค่าชดเชยตามจำนวนดังกล่าว
4. น่าคิดว่า กรณีล่าเสือดำ เป็นคดีที่สาธารณชนให้ความสนใจอย่างยิ่ง สร้างความสะเทือนใจแก่สังคม
หากเป็นคดีตามกฎหมายบางฉบับ เช่น คดีความลับทางการค้า คดีผู้บริโภค คดีลิขสิทธิ์ ฯลฯ ยังสามารถเรียกร้อง “ค่าเสียหายเชิงลงโทษ”(Punitive Damages) แต่กรณีล่าเสือดำ จะกระทำได้หรือไม่?
ค่าเสียหายเชิงลงโทษ หมายถึง การกำหนดค่าเสียหายสูงกว่าปกติ เพื่อลงโทษจำเลย และเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างไม่ให้ผู้อื่นกระทำการเยี่ยงนี้อีก
“ค่าเสียหายเชิงลงโทษ” อาจดูตามพฤติการณ์ของความรุนแรง เจตนาร้าย ฉ้อฉล หรือผลกระทบวงกว้างจากการกรทำความเสียหายดังกล่าว
เพราะไม่เพียงแต่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่สูญเสียสัตว์ป่าไป แต่สังคมก็ได้รับความเสียหายด้วย
สถานะทางการเมือง ตำแหน่งสังคมของผู้กระทำการ น่าจะต้องถูกนำมาพิจารณาหรือไม่ ว่าหากเป็นผู้มีฐานะดี ยังบังอาจกระทำอุกอาจ เสมือนหนึ่งไม่ยำเกรงกฎหมาย ยิ่งทำให้สังคมเกิดความรู้สึกเจ็บปวด และสุ่มเสี่ยงจะเกิดพฤติกรรมเอาอย่างจากคนมีเงิน มีสถานะในสังคม หากว่าถูกเรียกค่าเสียหายเล็กๆ น้อยๆ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี