หลายปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียนประเทศเวียดนามอยู่เป็นระยะๆ ได้เห็นพัฒนาการทั้งทางด้านกายภาพและวิถีชีวิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ว่าปัญหาความฉวัดเฉวียง ลื่นไหลดังสายน้ำของจักรยานยนต์ในการสัญจรอาจยังคงมีอยู่ เวียดนามก็พลิกวิกฤติเป็นโอกาส โดยชูเป็นจุดเด่นของการท่องเที่ยวไปเลยก็ได้กลายเป็นความท้าทายเชิงผจญภัยให้กับนักท่องเที่ยวในการเดินทางมายังประเทศเวียดนาม เพื่อได้ทดลองการข้ามถนนหนทางที่น่าเวียนหัวนี้สักครั้งในชีวิต
อย่างไรก็ดี บนฟุตบาททางเท้าของเขา ยังเต็มไปด้วยโต๊ะและม้านั่งเกือบติดพื้น ค้าขายก๋วยเตี๋ยว และกาแฟกันแบบเดิมๆ ขณะเดียวกันร้านของชำก็ยังเปิดกิจการได้ดาษดื่นไปทั่วเมืองแม้ว่าจะขับเคลื่อนกันด้วยระบบทุนนิยมที่ทำให้ค่าเซ้งห้องแถวกลางเมืองขึ้นไปเหยียบๆ 20-30 ล้านบาท ก็ตามที และที่ยังคงชัดเจนก็คือ ระบบการผูกขาดอำนาจรัฐด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ที่ยังมั่นคงเข้มข้นอยู่ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิเสรีภาพทางการเมืองก็ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องพูดถึงกัน
แต่สิ่งที่น่าประทับใจมากก็คือ บรรยากาศโดยทั่วไปแม้จะจับต้องหรือนับจำนวนมิได้ นั่นคือความขยันหมั่นเพียร ความมุ่งมั่นของชาวเวียดนามที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นและอยากให้ประเทศชาติก้าวหน้า ทัดเทียมประเทศเพื่อนบ้าน และความต้องการเป็นคนทันสมัย ดังเห็นได้จากร้านกาแฟติดแอร์ (Coffee Shop) ในปัจจุบันตามเมืองใหญ่ๆ ต่างเต็มไปด้วยผู้คน หนุ่มสาว พร้อมด้วยมือถือและไอแพด ซึ่งวันนี้ ร้านกาแฟแบกับดินมีคู่แข่งที่น่าเกรงขามเสียแล้ว
ปัจจุบัน เวียดนามได้มุ่งมั่นพัฒนาประเทศ ด้วยการเปิดประเทศเพื่อการลงทุนในกิจการด้านหลักทรัพย์ กิจการห้างสรรพสินค้า กิจการท่องเที่ยวและโรงแรม และในกิจการอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก โดยให้สิทธิพิเศษต่างๆ นานาแบบไม่อั้น ควบคู่ไปกับการจัดทำข้อตกลงเปิดเสรีการค้ากับนานาประเทศ จัดได้ว่าเวียดนามมีข้อตกลงการค้าเสรีกับต่างประเทศมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก และอยู่ในระดับต้นๆของบรรดาประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน
ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่า เวียดนามมีนโยบายเปิดประเทศด้วยมาตรการสิทธิพิเศษทางภาษีเพื่อการทำธุรกิจ และด้วยการจัดทำข้อตกลงเปิดเสรีการค้า ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่ทั่วโลก สะท้อนว่า ผู้นำเผด็จการของเวียดนามมุ่งมั่นและแน่วแน่ว่า มุ่งจะนำพาประเทศอย่างใดและจะทำการให้บรรลุเป้าหมายอย่างใด
แม้ว่าเวียดนามยังมีปัญหากับระบบบริหารราชการที่ล่าช้า มีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น มีปัญหาความล้าหลังของโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ปัญหาทักษะความชำนาญการของบุคลากร แต่โลกทั้งโลกหรือถนนทุกสายกลับยังคงมุ่งหน้าสู่เวียดนามเพื่อทำมาค้าขาย
ในขณะเดียวกัน ด้านการเมืองความมั่นคงระหว่างประเทศ เวียดนามได้กระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และรัสเซีย เพื่อต้านจีน แต่ก็ไม่ทำการใดๆ แบบท้าทาย หรือเผชิญหน้ากับจีน และยังเพียรพยายามรักษาความสัมพันธ์ในระดับพรรคต่อพรรคอยู่อย่างแนบแน่น
ส่วนด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ เมื่อนโยบายทิศทางของผู้นำเวียดนามมีความชัดเจนแน่ชัด ก็ทำให้เป็นการง่ายที่ต่างชาติจะคบหาด้วย แม้หลายๆ ประเทศอาจจะมีความอึดอัดใจกับความเป็นคอมมิวนิสต์ของเวียดนามอยู่บ้าง แต่ในภาพรวมแล้ว การกดขี่ ทารุณกรรมต่อประชาชนก็ไม่ได้ปรากฏชัด และการขจัดผู้เห็นต่างแบบโหดเหี้ยมทารุณก็มิได้เห็นปรากฏ จึงจัดได้ว่ายังอยู่ในระดับพอรับกันได้ที่จะคบค้าสมาคม
ในขณะที่เวียดนามเป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์ และเปิดเสรีทางด้านเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ไทยเราเองก็มุ่งไปในทิศทางเผด็จการทหารนำพา และยังคงความเป็นเศรษฐกิจเสรีมาโดยตลอด
แต่เหตุใด ในวันนี้ ถนนทุกสายกลับมุ่งสู่ฮานอยในขณะที่กรุงเทพมหานคร กลับเงียบเหงา ทั้งๆ ที่ 2 ประเทศต่างมีการปกครองในระบอบเผด็จการ และดำเนินเศรษฐกิจเสรีเช่นเดียวกัน แต่กลับได้รับการปฏิบัติจากโลกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง?
เมื่อนำมาวิเคราะห์ ก็อาจเป็นไปได้ว่า คณะทูตที่ประจำอยู่ที่ฮานอย และอาคันตุกะจากต่างแดน เมื่อเขาเยี่ยมเยือนกรุงฮานอย พร้อมกับคำถาม พวกเขาก็ได้รับคำตอบและข้อชี้แจงที่แน่ชัดจากผู้นำ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เขาได้รู้อีกด้วยว่า มติของพรรค แนวนโยบายพรรค จะได้รับการนำสู่การปฏิบัติโดยฝ่ายรัฐบาล ความแน่ชัด ความเอาจริงเอาจังมีอยู่ในแวดวงวงการเมืองเวียดนาม
เมื่อลองเทียบกับการมาเยือนประเทศไทยของคณะผู้แทนต่างชาติกันแล้ว จะพบเสียงปรารภจากอาคันตุกะต่างแดนว่า หาคำตอบอะไรชัดเจนไม่คอยได้หรือเป็นคำตอบที่ไม่แน่ชัด และยิ่งกว่านั้น ยังไม่รู้แน่ว่า ใครผู้ใด ร่วมรับผิดชอบความเป็นไปในสังคมไทย ซึ่งทำให้อนาคตการลงทุนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และความไม่แน่ใจว่าเรื่องหนึ่งเรื่องใดนั้นจะมีความต่อเนื่องจริงๆ ในสังคมไทย
อีกทั้งรัฐบาลทหารในวันนี้ แม้เป็นรัฐบาลเฉพาะกาล เป็นรัฐบาลชั่วคราว กลับไปทำการตัดสินใจในเรื่องระยะปานกลาง และยาว ซึ่งเป็นการสร้างความไม่แน่นอนใจให้กับนานาชาติเข้าไปอีก แทนที่จะไปแก้ไขปัญหาเรื่องเฉพาะหน้า เร่งด่วน ซึ่งใครๆ ก็ยังไม่ได้รับรู้ว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ต้องกระทำให้สำเร็จ เสร็จสิ้น เสียก่อนจะอำลาตำแหน่งไป
ดังนั้น การจะคบหากับไทย จึงกลายเป็นเรื่องที่ต้องรอคอยหรือชะลอไว้ก่อน ซึ่งคงขึ้นอยู่กับรัฐบาล คสช.จะทบทวนตัวเองว่า ควรจะมีบทบาทแค่ไหน ควรจะทำอะไรในระหว่างที่ดำรงอำนาจ แทนที่จะไปสนใจคิดถึงแต่การต่อยอดอำนาจ การรักษาอำนาจ โดยไม่ดำเนินการบริหารจัดการบ้านเมืองได้จริงจัง
เมื่อมองไปในบริบทโลก ถนนสายต่างๆ ของโลกนอกจะมุ่งไปฮานอย แล้วยังมุ่งไปยังอีกหลายๆ เมือง ผู้มีอำนาจมองเห็นแล้ว ก็ไม่ควรปล่อยผ่านเลยไป ควรจะได้รีบทบทวนแก้ไขว่าจะทำกันอย่างไร ให้กรุงเทพมหานครได้เป็นหนึ่งในชุมสายทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับเมืองสำคัญอื่นๆ ของโลก
ผ่านมา 4 ปีแล้ว อย่าให้เสียเวลา เสียโอกาสไปมากกว่านี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี