กำลังจะเข้า 4 ปีของรัฐบาลคสช. ซึ่งรัฐบาลประกาศว่า เศรษฐกิจดีขึ้น โดยอ้างตัวเลข GDP ปี2560 ที่โตขึ้นร้อยละ 3.9 แล้วบอกว่า นี่คือความสำเร็จของรัฐบาลในขณะที่ตัวเลขการค้าขยายตัวได้ร้อยละ 8.8 หรือความเจริญเติบโตในตลาดหลักทรัพย์นั่นคือเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของประเทศชาติจริงๆหรือ? เศรษฐกิจการค้าที่ดีขึ้นควรมาจากตัวเลขรวมหรือประชาชนโดยรวมกันแน่ ผู้กำหนดนโยบายทางการค้า ควรจะคำนึงถึงนายทุน ผู้ค้าขายของ หรือประชาชนทั้งประเทศมากกว่ากัน?
กระทรวงพาณิชย์ต่างจากกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการเกษตรฯเพราะมีอำนาจหน้าที่และบทบาทที่ไม่ใช่ดูแลเฉพาะการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้ผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงต่อประชาชนทั้งประเทศในฐานะผู้บริโภคอีกด้วย กระนั้นก็ตาม ที่บอกว่าได้ดูแลผู้ประกอบการแล้วนั้น ก็ต้องไม่ดูแลเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ หากแต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการทุกราย และส่งเสริมผู้แข่งขันรายใหม่ในตลาดด้วยเช่นกัน
สนับสนุน SME หรือกีดกันรายเล็กส่งเสริมรายใหญ่?
วันนี้ตัวเลข GDP ที่ปรากฏ ตลอดจนผลประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่สะท้อนภาพการเติบโตธุรกิจรายใหญ่ของประเทศที่ได้รับการสนับสนุนทางนโยบายทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจอุปโภคบริโภค ตลอดจนธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งขนาดใหญ่ ที่ได้เปรียบด้านทุนประกอบการ หรือสายป่านทางธุรกิจยาวกว่า ที่ติดตัวมาเป็นทุนเดิมแล้ว ยังปรากฏลักษณะบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นการเอาเปรียบรายย่อยหรือไม่? ในทำนองการทุ่มตลาดหรือผูกขาดหรือไม่? ตั้งแต่การเป็นผู้มีอำนาจเหนือพื้นที่ขายในห้างค้าปลีก ค้าส่ง จนสามารถกำหนดราคาสินค้าที่จะวางได้ กลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด? ผลคือผู้ผลิตสินค้ารายใหม่ต้องยอมจำนนต่อเงื่อนไขและราคาที่ห้างค้าปลีกค้าส่งกำหนด จนทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยากลำบาก
กรณีการตั้งห้างค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่กลางเมืองหรือในแหล่งชุมชม หรือแม้กระทั่งล่าสุดการมีรถขายสินค้าเข้าไปบริการ ผลกระทบไม่ต้องคิดถึงโชห่วยว่าจะเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมาโชห่วยก็ถูกปิดลงไปอย่างมากจากการกระจายอย่างรวดเร็วของร้านค้าปลีกทันสมัยที่มีสาขาจำนวนมากทั่วประเทศ ที่ปัจจุบันนอกจากขายสินค้า แล้วยังขายอาหาร กาแฟ จนกระทบผู้ประกอบการรายเล็กในแต่ละชุมชนมากมาย หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องไม่รู้เรื่องเลยหรือ?
นอกจากนี้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยังพบความผิดปกติของราคาหมูและไก่ในประเทศ ที่หลายฝ่ายเล็งเป้าไปที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่มีเพียงไม่กี่ราย? ซึ่งน่าจะมีอำนาจกำหนดราคาตลาดได้มากกว่ารายย่อย ยังส่งผลให้ราคาสินค้าปศุสัตว์โดยเฉพาะเนื้อหมูตกต่ำลง จนกระทบฟาร์มขนาดเล็กที่ปิดตัวลงไปจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา เรื่องเหล่านี้หน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่รู้สึกระแคะระคายถึงความผิดปกติดังกล่าวเลยหรือ? และหลายฝ่ายก็พอจะคาดเดาได้ว่า หลังฟาร์มรายย่อยปิดตัวลงไปจำนวนมาก จะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดสินค้าดังกล่าวในปีต่อๆ ไป?
การรักษาสมดุลของผู้ผลิตสินค้าเกษตร และผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
สินค้าเกษตรนับเป็นต้นทุนของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ดังนั้นราคาสินค้าเกษตรยิ่งถูกเท่าไหร่ ย่อมนำมาซึ่งผลกำไรที่สูงขึ้นของภาคอุตสาหกรรมมากเท่านั้น หากแต่รัฐต้องรักษาสมดุลทั้งสองส่วนให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่โดยมากเป็นเกษตรกรรายย่อย ย่อมไม่มีกำลังไปต่อรองนโยบายใดๆ ได้
ตลอด 3 ปีกว่ารัฐบาลคสช.พบว่า ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีโครงการหรือมาตรการในการพยุงราคาอย่างชัดเจน ตั้งแต่ข้าว (ที่เพิ่งจะมาดีขึ้นช่วงหลัง) ข้าวโพด มันสำปะหลัง ยางพารา และปาล์ม ที่ราคาตกต่ำโดยรัฐพยายามให้คำตอบว่า เป็นเรื่องของกลไกราคาตลาด จึงไม่ตัดสินใจนโยบายหรือมาตรการช่วยเหลืออย่างจริงจังหรือไม่? แต่กลับพบผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหลายรายที่ใช้วัตถุดิบจากพืชชนิดต่างๆ เช่น มันสำปะหลัง ข้าวโพด เพื่อใช้เลี้ยงสัตว์ในฟาร์มขนาดใหญ่ หรือใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูป ได้กำไรมหาศาลจากราคาสินค้าเกษตรที่ตกลง?
บทบาทหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจกำหนดเพดานราคาการรับซื้อพืชสำหรับอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ ตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ แม้จะบอกว่ามีคณะกรรมการฯเป็นผู้ตัดสินเรื่องต่างๆ เหล่านี้ก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าผู้ที่มีอำนาจผลักดันคือข้าราชการระดับอธิบดี จึงถือว่ากระทรวงทำสำเร็จเพียงด้านเดียว คือทำให้เงินในกระเป๋านายทุนมีมากขึ้น? ขณะที่เกษตรกรกลับจนลงจากการขายสินค้าเกษตรได้ราคาถูก ประชาชนผู้บริโภคกลับต้องซื้อสินค้าขายปลีกในราคาแพงขึ้น หรือกรณีอุตสากรรมปาล์มที่มีทั้งประเด็นเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม กับอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันปาล์ม โดยทั้งที่ยังมีปาล์มอยู่ในประเทศจำนวนมาก แต่ก็ยังมีการนำเข้าปาล์มดิบเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันปาล์ม งานนี้คนที่ได้กำไรจึงมีแค่คนเดียวคือผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม
และในวันนี้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอยู่ ราคายางอยู่ที่ 44 บาท ราคาปาล์มน้ำมันเหลือแค่ 3 บาท และข้าวเปลือกเหลือแค่ตันละ 7,000 บาท เกษตรกรหลายล้านคนทั่วประเทศประสบปัญหาหนี้สิน และยังไม่ได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ? จากทั้งสามกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ก็คือกระทรวงพาณิชย์กระทรวงเกษตรฯและกระทรวงอุตสาหกรรม?
ส่งเสริมผู้ประกอบการไทย หรือทุนต่างชาติ?
การรุกเข้ามาไทยของผู้ประกอบการต่างชาติซึ่งต้องยอมรับว่า ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นายทุนจีนมีอิทธิพลมากต่อการทำธุรกิจในไทยโดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบจีนทางการค้า แต่ปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวแทบทั้งหมดที่บอกว่าเป็นรายได้ของประเทศไทยจากสินค้าที่ขายจีน มีเพียงเท่าไหร่ที่ถือว่าเป็นของผู้ประกอบการไทยแท้และตั้งอยู่ในไทย เพราะในความเป็นจริง มีนายทุนจีนที่สวมเสื้อไทยอีกจำนวนไม่น้อย ใช่หรือไม่? ที่เข้ามาทำการค้าในรูปแบบต่างๆ อาทิ สินค้าเกษตร พืชผล หรือผลไม้ ที่นับเป็นสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในจีน มองดูน่าจะเป็นรายได้เข้าประเทศมหาศาล แต่กลับพบว่าเงินอาจไม่ได้เข้ากระเป๋าชาวสวนไทยแท้จริงโดยเฉพาะกรณีล้งผลไม้ที่ร่วมมือกับนายทุนจีนที่เข้ามาสร้างระบบซื้อขายล่วงหน้า ผ่านการเซ็นสัญญาโดยไม่แบกรับความเสียหาย ใช่หรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้ป็นหน้าที่หน่วยงานทางการค้าต้องเข้าไปสร้างช่องทางหรือการดูแลไม่ให้เกิดการเอาเปรียบทางการค้า
อีกความรับผิดชอบโดยตรงของรัฐในการดูแลการทำธุรกิจของต่างชาติ โดยเฉพาะธุรกิจหลายอย่างที่ให้คนไทยเป็นการเฉพาะ ผ่านอำนาจการกำกับและตรวจสอบผู้ถือหุ้นต่างชาติของบริษัทที่จดทะเบียนการค้าในไทย แต่ปัจจุบันกลับพบการเข้ามาลงทุนของต่างชาติในไทยผ่านนอมินีต่างๆ มากขึ้นทุกวัน ใช่หรือไม่? อาทิ บริษัทการกระจายสินค้าขนาดใหญ่จากจีน ที่ทุกคนดูยี่ห้อก็รู้ว่ามาจากไหน แต่เข้ามาทำธุรกิจในไทยได้ ที่สำคัญคือจดทะเบียนบริษัทในไทยด้วย ดูผิวเผินแม้มีผู้ถือหุ้นคนไทยเป็นสัดส่วนไม่น้อย แต่เข้าไปดูรายงานผลประกอบการหรือเว็บไซต์บริษัท ก็ประกาศชัดเจนว่า บริษัทของตนมีสาขามาแล้วทั่วโลก เท่ากับว่าไทยเป็นเพียง 1 ในสาขาของธุรกิจใหญ่นี้เท่านั้น เอาเข้าจริงคงไม่ยากเกินไป หากจะมีการตรวจสอบให้ชัดเจนว่า ผู้ถือหุ้น ตลอดจนอำนาจเหนือบริษัทดังกล่าวเป็นอย่างไร ผลประกอบการที่ได้ มีเงินนำส่งบริษัทแม่หรือไม่? เรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าจะตรวจสอบได้
แม้กระทั่งนโยบายที่ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงรัฐบาลชุดนี้ อย่าง EEC แต่หากดูรายละเอียดในกฎหมายที่เพิ่งออกจากสนช.ก็พบว่า กฎระเบียบต่างๆ เอื้อธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น ในระยะหนึ่งนับเป็นเรื่องดีที่จะมีการส่งเสริมการค้าการลงทุนโดยเฉพาะการระดมทุนจากต่างชาติเข้ามา แต่ในเงื่อนไขหลายอย่าง ดูจะเปิดช่องทางลดแลกแจกแถมมากเกินไปหรือไม่ และได้คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการไทยเดิมอยู่แล้วหรือไม่? เพราะหากเชื่อว่าโครงการนี้สำเร็จจริง อาจมีเงินหมุนสะพัดมหาศาลใน EEC แต่จะเข้ากระเป๋าคนไทยหรือเข้ากระเป๋านายทุนต่างชาติส่งกลับประเทศกันแน่?
กว่า 4 ปีมานี้ รัฐบาลประยุทธ์ปรับครม.เศรษฐกิจมาแล้วถึง 3 ครั้ง ตั้งแต่นายพล สู่ข้าราชการเกษียณ แล้วมาสู่พ่อค้านักธุรกิจใหญ่ในที่สุด แต่ยังไม่สะท้อนความเข้าใจวิถีชีวิตประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ยังพอมีเวลาเหลือให้ปรับแนวคิดการทำงานเพื่อประชาชนมากขึ้น โดยเฉพาะการทำนโยบายเศรษฐกิจเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่การสร้างโอกาสให้ใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
...........................................................
“...ไม่ปฏิเสธเท่ากับเป็นการยอมรับ...”
คำคมโกวเล้งจากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี