“หมู่บ้านป่าแหว่ง” กลายเป็นปัญหาเผชิญหน้าและทวี “ความสุดโต่ง” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่มีการก่อสร้างมาอย่างต่อเนื่อง จนกำลังจะแล้วเสร็จ
ไม่ได้โทษว่าทำไมเพิ่งมาค้านกันตอนนี้ เพราะย้อนหลังไป 2 ปี เห็นว่า มูลนิธิสืบนาคะเสถียรก็เคยส่งหนังสือคัดค้านไป นั่นแปลว่า การคัดค้านมีมาก่อน เพียงแต่กระแสแรงในช่วงเวลานี้ เพราะภาพถ่ายทางอากาศที่ส่งต่อๆ กัน มันดู “แย่” จนคนที่ทั้งรู้จักป่าผืนดังกล่าวและไม่รู้จัก ผนึกกำลังกันคัดค้าน จนพัฒนามาสู่การเรียกร้องให้ “รื้อทิ้ง”
ผมเองได้ร่วมลงชื่อใน change.org กับเรื่องนี้ ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรต้องมีพลังทางสังคมมาร่วมกัน “กระตุกกระตุ้น” ให้เกิดการ “เจรจาหาจุดจบ” ของ “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ที่เป็นปัญหา
ปัญหาที่ผมเห็น คือปัญหา “ความสุดโต่ง” ที่ไม่พร้อมจะ “ตั้งหลัก” แล้ว “คิด” ไปด้วยกัน
ต่างคนต่างคิด คิดเพื่อจะให้ได้ดั่งใจตน โดยไม่ฟังอีกฝ่าย และไม่คิดจากความเป็นจริง
1) ความเป็นจริงที่ต้องเข้าใจให้ตรงกันอันดับแรก คือ นิยามของคำว่า “ป่า” ในเมื่อคำว่า “ป่า” ตามกฎหมายกับป่าที่ตาเห็น มันเป็นคนละมุมมองคนละความรู้สึก คนละการวินิจฉัย จะหาจุดจบในเรื่องนี้อย่างไร ที่ถูกต้อง ไม่ใช่ถูกใจ และไม่มุ่งเอาชนะคะคานกัน แต่ต้องมุ่งไปสู่ “ทางออก” ที่เป็นไปได้
2) ความเป็นจริงเรื่องระเบียบการอนุมัติการใช้พื้นที่ เวลานี้ก็ด่ากันไปด่ากันมา หรือเลี่ยงไปเลี่ยงมา ที่จะทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า ลำดับของการขอใช้พื้นที่เพื่อสร้างบ้านพักดังกล่าวนี้ เริ่มจากตรงไหน และใครอนุมัติ ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อให้ด่าทอกัน ว่าไอ้แม้ว อีปู ชัยสิทธิ์ สมชาย หรือใครเป็นตัวละครในกระบวนการของการอนุมัติ แต่ต้องการให้เห็นว่ามันมีการขออนุญาตและอนุมัติกันมาโดยลำดับ ตั้งแต่การเลือกพื้นที่ การขอใช้พื้นที่ การอนุมัติให้ใช้พื้นที่ การของบประมาณ การอนุมัติงบประมาณ ฯลฯ ให้ไปดูว่าแต่ละลำดับขั้น มันมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายไหม เพราะเรื่องนี้ไม่ได้ขอและอนุมัติกันในวันเดียว มันผ่านขั้นตอนและดุลพินิจของคนมาตั้งไม่รู้กี่คนและกี่ปี แต่เราเลือกที่จะมาทะเลาะกันที่วันนี้ ด่าทอกันที่วันนี้ ขัดแย้งกันที่วันนี้ แล้วเร่งรัดจะเอา “คำตอบสุดท้าย” ให้ได้ดั่งใจ
3) ปัญหาใหญ่ที่สุดในเวลานี้ คือ ขาดการรับฟังซึ่งกันและกัน ทุกคนได้ยินแต่ “เสียงแห่งความต้องการ” ของตัวเอง เมื่อจนมุมซึ่งหลักฐาน-หลักการ ก็มาจบตรงที่ รู้โว้ย! ว่าถูกต้อง แต่มันไม่เหมาะสม ไม่มีธรรมาภิบาล
ดังนั้น เรื่องนี้ จำเป็นต้อง “ค่อยๆ ฟังกัน” ให้แต่ละฝ่ายได้ร่ำระบาย เอาโทสะออกไปก่อน ให้เหลือแต่ “ตัวปัญหาแท้ๆ” ที่ไม่มีทรรศนะ ไม่มีอารมณ์ขั้วทางการเมืองมาเกี่ยว จะได้นำไปสู่ “ทางออกที่เป็นไปได้”
เพราะจะให้รื้อ ก็ติดข้อกฎหมาย ในเมื่อปลูกสร้างมาอย่างถูกกฎหมายและใช้งบประมาณแผ่นดินไปแล้ว กฎหมายไม่อนุญาตให้รื้อถอนได้ ซึ่งการรื้อถอนก็ต้องใช้งบประมาณเข้ารื้ออีก ใครจะตัดสินใจ ใครจะอนุมัติ และอนุมัติโดยมีระเบียบหรือกฎหมายใดรองรับ จึงปรากฏการเรียกร้องให้ใช้ ม.44
ครั้นจะไม่รื้อ ก็เกิดการชุมนุม ด่าทอ ขัดเคืองใจกันไปเปล่าๆ
คนที่ต้องลงมาแก้ปัญหานี้ เห็นทีต้องเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนเดียวเท่านั้น ซึ่งก็ดีว่า ท่านมิได้เพิกเฉย กล่าวคือ...
เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 พร้อมกล่าวก่อนการประชุมตอนหนึ่งถึงกรณีชาวเชียงใหม่รวมพลังต้านโครงการก่อสร้างบ้านพักตุลาการเชิงดอยสุเทพ โดยเรียกร้องให้รื้อทิ้งสถานเดียว ว่า ทุกอย่างต้องเริ่มจากกฎหมายทั้งสิ้น จึงต้องสร้างความเข้าใจกัน ยกตัวอย่างกรณีปัญหาบ้านพักตุลาการที่จังหวัดเชียงใหม่ แม้ยอมรับว่ากฎหมายไม่ผิด แต่ขัดความรู้สึกของคนในพื้นที่ เป็นเรื่องของป่าในมุมมองของประชาชน แล้วรัฐบาลจะทำอย่างไร ขอความกรุณาช่วยกันคิดด้วย
วันที่ 1 พ.ค.2561 เฟซบุ๊ค “ไทยคู่ฟ้า” โพสต์ข้อความว่า “ขอ 1 ความเห็น ร่วมหาทางออกปัญหาบ้านพักตุลาการเชิงดอยสุเทพ” ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก เพจไทยคู่ฟ้าจึงอยากเปิดพื้นที่รับฟังความเห็นของพี่น้องประชาชนทุกคน แต่มีเงื่อนไขว่า 1.ไม่ใช้คำหยาบคาย 2.ไม่หมิ่นประมาทผู้อื่น 3.ไม่เชื่อมโยงประเด็นทางการเมือง”
ผ่านไป 3 ชั่วโมง ปรากฏว่ามีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นประมาณ 5 พันคน โดยให้ความเห็นที่หลากหลาย ส่วนใหญ่ระบุว่า ต้องการให้รื้อทิ้ง เพื่อขอคืนพื้นที่ป่า บางส่วนระบุว่าไม่ต้องรื้อแต่ห้ามใช้พักอาศัย ให้นำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น รวมถึงบางความคิดเห็นต้องการให้เอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงให้เอาความจริงมาเปิดเผยด้วย
วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการแก้ปัญหาบ้านพักตุลาการทีจ.เชียงใหม่ ซึ่งกลุ่มเครือข่ายประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่ยื่นคำขาดให้รัฐบาลสั่งรื้อถอนภายใน 7 วัน ว่า ตนรู้สึกกังวลและไม่สบายใจเรื่องนี้มาตลอด ขณะเดียวกัน ตนอยากขอร้องว่าอย่าใช้คำว่ายื่นคำขาดเลย เพราะรัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว โดยต้องดูหลายๆ อย่าง เพราะมีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามเราได้ตั้งคณะทำงานที่มีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ลงไปพูดคุยเพื่อแก้ปัญหานี้ ก็ทราบว่ามีผลการพูดคุยในทางที่ดี ส่วนการที่ประชาชนจะออกมาเคลื่อนไหวเดินขบวนต่างๆ จะเป็นปัญหาต่อส่วนรวม ขณะที่รัฐบาลกำลังทำหลายอย่าง จึงไม่ต้องการให้ความขัดแย้งจากเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปทำให้เรื่องอื่นได้รับความเสียหายด้วย ทั้งการท่องเที่ยวและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ตนยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญต่อความรู้สึกของชาวเชียงใหม่ด้วย แต่ต้องใช้เหตุผลในการร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหา
ในเฟซบุ๊คของ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งออกมาอธิบายเรื่องนี้แทนฝ่ายตุลาการอยู่บ่อยครั้ง ก็ได้ให้ประเด็นที่น่านำไปตรึกตรองร่วมกันว่า “กรณีที่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการก่อสร้างอาคารบ้านพักตุลาการที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2561 ได้มีการชุมนุมกันและยื่นคำขาดให้ท่านนายกรัฐมนตรีสั่งรื้ออาคารดังกล่าวโดยด่วนนั้น
...ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าพื้นที่ที่ใช้ก่อสร้างอยู่นอกแนวเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยและเป็นที่ดินราชพัสดุที่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 8 ตรี ด้วย จึงเป็นที่ดินที่มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดินแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 1(4)
...เมื่อพื้นที่ที่ใช้การก่อสร้างไม่ได้เป็นป่าตามกฎหมาย และการก่อสร้างก็ชอบด้วยกฎหมายทุกประการ สำนักงานศาลยุติธรรมซึ่งเป็นหน่วยงานธุรการของศาลยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 193 ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้รื้ออาคารที่กรรมสิทธิ์ของทางราชการได้เพราะผิดกฎหมาย ผู้ที่สั่งให้รื้อจะมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งมีโทษจำคุกถึง 10 ปี และต้องใช้ราคาของอาคาร 1,000 ล้านบาทเศษให้ทางราชการด้วย
...การที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวยื่นคำขาดให้ท่านนายกรัฐมนตรีสั่งรื้ออาคารดังกล่าวนั้น ทั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันและพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ก็ไม่มีบทบัญญัติใดที่ให้อำนาจท่านนายกรัฐมนตรีสั่งให้รื้ออาคารดังกล่าวได้
...มีการเรียกร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ใช้อำนาจในมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557
สั่งให้รื้ออาคารดังกล่าว
...มาตรา 44 บัญญัติว่า ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจําเป็นเพื่อประโยชน์ ในการปฏิรูปในด้านต่างๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกันระงับ หรือปราบปรามการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอํานาจสั่งการ ระงับยับยั้ง หรือกระทําการใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทํานั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคําสั่งหรือการกระทํา รวมทั้งการปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว เป็นคําสั่ง หรือการกระทํา หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด ทั้งนี้ เมื่อได้ดําเนินการดังกล่าวแล้ว ให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว
...ตามบทบัญญัติดังกล่าวหัวหน้า คสช. จะออกคำสั่งโดยใช้อำนาจตามมาตรานั้นต้องมีหลักเกณฑ์คือ 1.เป็นการจําเป็นเพื่อประโยชน์ ในการปฏิรูปในด้านต่างๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือ 2.เพื่อป้องกันระงับ หรือปราบปรามการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร
...เมื่อการก่อสร้างอาคารบ้านพักตุลาการอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่ได้เป็นป่าตามกฎหมายและการดำเนินการก่อสร้างก็ชอบด้วยกฎหมายทุกประการ จึงเห็นว่าไม่น่าเข้าหลักเกณฑ์ทั้งข้อ 1 และ 2 ที่ท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้า คสช. จะนำมาตรา 44 มาใช้ในกรณีนี้ได้
...แต่ทั้งนี้ อยู่ที่ดุลพินิจของท่านนายกรัฐมนตรีที่จะพิจารณาว่า จะนำมาตรา 44 มาใช้ได้หรือไม่ โดยขึ้นอยู่กับที่ปรึกษากฎหมายว่าจะให้คำปรึกษาต่อท่านนายกรัฐมนตรีว่าอย่างไรครับ”
ดังนั้น เมื่อกฎหมายมีระเบียบและถูกปฏิบัติมาโดยลำดับ แต่คนก็มีความรู้สึก
ระหว่างระเบียบกับความรู้สึก ทางออกจะจบลงที่ตรงไหนยังไม่ทราบ แต่ต้องเริ่มขึ้นที่การ “เปิดใจ” รับฟังกันอย่างจริงจังและปราศจากอคติ และนี่คือกระบวนการที่นายกฯ อำนวยการให้เกิดขึ้นอยู่!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี