“ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่เหลาๆ ไปกลายเป็นบ้องกัญชา”
สุภาษิตไทยโบราณที่กล่าวเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ที่เริ่มต้นด้วยความบริสุทธิ์ แต่เมื่อมีหน้าที่การงานใหญ่โตขึ้นพฤติกรรมก็เปลี่ยนไป เปรียบเสมือนลำไม้ไผ่ตอนเริ่มก็ดูเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์แต่พอนำไปทำเป็นเครื่องมือประกอบกับการใช้เป็นเครื่องมือในการสูบยาเสพติด คือ กัญชาหรือฝิ่น มีการประดิษฐ์ประกอบด้วยเหรียญตราเครื่องประดับสวยงามก็กลายสภาพไป
การเอาสุภาษิตบทนี้มาเขียนก็เพื่อเปรียบเทียบกับบุคคลที่ตอนแรกก็ดูเรียบร้อยแต่เมื่อมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตขึ้นพฤติกรรมก็เปลี่ยนไปตามตำแหน่งหน้าที่ ณ ที่นี้อาจเปรียบได้กับนักการเมืองที่ก่อนเป็นนักการเมืองและมีหน้าที่ใหญ่โตก็ดูเป็นมนุษย์ติดดินธรรมดาแต่พอเวลาผ่านไปเมื่อมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น หรือเมื่อได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรและยิ่งถ้ามีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต ถ้าเปรียบเสมือนเป็น “บ้องกัญชา”
สำหรับสังคมไทยในปัจจุบันและกำลังจะก้าวสู่อนาคตอันใกล้นี้มีแนวโน้มที่คณะปฏิวัติภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ครองอำนาจมาเกือบครบ 4 ปีแล้ว กำลังจะพัฒนาสู่การครองอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบต่อไป สถานการณ์การเมืองที่เริ่มต้นจากการเป็นกรรมการห้ามมวยสู่การเป็นนักมวยสมัครเล่นและกำลังจะก้าวสู่การเป็นนักมวยอาชีพ
ถ้าเป็นนักการเมืองก็เป็นการเดินรอยการเมืองแบบดั้งเดิมที่ตนเคยรังเกียจโดยลืมคำว่า “การปฏิรูป” เสียแล้ว ถึงกับยอมรับบรรดานักการเมืองที่มีพฤติกรรมที่เคยประณามเข้าเป็นพวกอย่างหน้าตาเฉยถึงกับกล่าววลีออกมาว่า “การดูด” (การซื้อขายตัวนักการเมือง) มีทุกพรรคการเมืองมายาวนานแล้ว เป็นครรลองของประชาธิปไตยไทยตลอดมา”
วาจาที่เปล่งออกมานั้นในฐานะศึกษาวิชารัฐศาสตร์ รู้สึกตกใจต่อคำพูดของนักการเมืองที่จะนำพาประเทศสู่การปกครองประชาธิปไตยมาก
เพราะไม่ทราบว่าท่านศึกษามาจากตำราประชาธิปไตยใดจึงเชื่อในทฤษฎีที่เรียกว่า “การดูด” หรือ “การซื้อ” ได้อย่างหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนที่จะเป็นนักการเมืองได้แสดงความรังเกียจพฤติกรรมดังกล่าว ครั้นเป็นนักการเมืองแทนที่จะล้างความสกปรกที่ทำให้ต้องมาเหน็ดเหนื่อย (ตามที่กล่าวไว้) กลับเดินตามรอยจึงเปรียบเสมือนสุภาษิตที่กล่าวไว้ในตอนต้น
และเหมือนกับเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 คณะราษฎรทำการปฏิวัติได้อ้างว่าจะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรืออำมาตยาธิปไตย สู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่คณะราษฎรกลับทำตัวเป็นอำมาตย์เสียงเอง โดยลืมหลักการประชาธิปไตยเสียสิ้นจนทำให้ประเทศไทยเกิดความไม่สงบในทางการเมืองมาจนทุกวันนี้ เพราะนักการเมืองอาชีพมิได้มีพฤติกรรมที่เป็นนักประชาธิปไตยนอกจากฉกฉวยโอกาสก่อนมีอำนาจ ต่างกับเมื่อมีอำนาจแปลงพฤติกรรมเป็นอำมาตย์เป็นชนชั้นเป็นอภิชนาธิปไตยไปซึ่งกลายเป็นชนชั้นอีกชั้นหนึ่ง
พฤติกรรมดังกล่าวของนักการเมืองที่มีอำนาจเช่นนี้ยากที่จะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยเหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “ปากเป็นประชาธิปไตย แต่ใจเป็นเผด็จการ” ซึ่ง “วงจรอุบาทว์” นี้ เกิดขึ้นในวงการเมืองไทยตลอดมาไม่เปลี่ยนแปลง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี