เรื่องไทยพีบีเอสซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟ หรือหากจะพูดให้เต็มยศก็คือ การที่องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (หรือ ส.ส.ท. หรือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส) ซื้อหุ้นกู้บริษัท
เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) แม้เรื่องนี้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่เรื่องราวมากมายก็ยังคงติดค้างอยู่ในใจของผู้ที่ให้ความสนใจ และให้ความสำคัญกับหลักธรรมาภิบาลขององค์การ รวมถึงหลักแห่งความรับผิดชอบร่วมกันของผู้บริหารองค์การ
แม้คณะกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอสจะได้ออกประกาศขององค์การฯ เรื่องผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนี้เมื่อวันที่19 เมษายน 2561 โดยอ้างอิงถ้อยคำของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยระบุว่า
...“จากข้อมูลที่ได้รับฟังจากผู้เกี่ยวข้อง ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าผู้เกี่ยวข้องคนใดบ้างที่จะต้องรับผิดทางแพ่ง อาญา และวินัย อันเนื่องมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นทางโครงสร้างการบริหารงานของ ส.ส.ท. ประกอบกับผู้อำนวยการ ส.ส.ท. (นายกฤษดา เรืองอารีย์รัชต์) ได้รับอนุมัติให้ลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว นอกจากนี้เมื่อไทยพีบีเอสได้ขายหุ้นกู้ซีพีเอฟออกไป ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไทยพีบีเอสไม่ได้รับความเสียหายทางการเงินแต่อย่างใด”
คณะกรรมการนโยบายมีมติเห็นชอบกับรายงานของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และจะพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป
กรณีนี้ หากเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องราวครั้งนี้มากนัก ก็อาจจะบอกว่า เรื่องนี้จบลงแล้ว และจบลงอย่างสวยงาม เพราะไทยพีบีเอสไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ทางการเงิน แต่สำหรับ
ผู้ที่มีความรู้ด้านการเงินและการบริหารองค์กรเป็นอย่างดีแล้ว ทุกคนจะตั้งคำถามเหมือนๆ กันว่า ทำไมผลสรุปจึงออกมาง่ายดายเช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหลายคนตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะตรงไปตรงมามากนัก เพราะการซื้อขายหุ้นกู้ซีพีเอฟโดยไทยพีบีเอสในครั้งนี้ก็แสนจะน่าสงสัย อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากข้อสรุปของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ก็ยิ่งทำให้เห็นถึงความไม่น่าจะปกติหลายประการ
ส่วนคำถามหนึ่งที่ผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเงินเป็นอย่างดีถามตรงกันคือ อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ไทยพีบีเอสขายคืนหุ้นกู้ตัวดังกล่าวได้ในราคาที่แสนจะน่าอัศจรรย์ แล้วทำไมผู้รับซื้อคืนจึงยอมรับซื้อ เพราะหลายต่อหลายคนที่ถือหุ้นกู้ตัวดังกล่าวไว้ในมือ ก็ต้องการจะขายคืนได้ในราคาที่เหมือนกับไทยพีบีเอสขายคืนได้
อย่างไรก็ตาม ข้อแนะนำให้ผู้ที่สนใจใฝ่หาความจริงในเรื่องนี้โปรดอ่านรายงานการสอบสวน ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 เรื่อง กรณีซื้อหุ้นกู้บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ซีพีเอฟ ซึ่งรายงานนี้เรียนไปยังประธานกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอส
ประเด็นที่อ่านแล้วสงสัยมากคือรายงานการสอบสวนฉบับนี้ดูเสมือนมุ่งประเด็นไปยังนางสาวอัจฉรา สุทธิศิริกุล ที่ปรึกษาด้านการเงิน การคลัง และการบริหารจัดการองค์การ เพราะผู้ให้ปากคำกับคณะกรรมการสอบสวนทุกคนพูดราวกับว่าการตัดสินใจทั้งหมดในเรื่องนี้มาจากที่ปรึกษาด้านการเงินฯ ยิ่งเมื่อพิจารณาจากพยานบุคคลที่อ้างในข้อ 2.3 พยานบุคคล ที่คณะกรรมการฯ เชิญไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม 5 คน คือ นางสาวชัชฎา โชคชัยรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายบัญชี รักษาการผู้จัดการฝ่ายการเงิน นางสาวภิญญาพัชญ์ หงส์พิมลมาศ เจ้าหน้าที่การเงิน นายนราวิทย์ เปาอินทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหาร นายอนุพงษ์ ไชยฤทธิ์ รองผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ด้านปฏิบัติการ และนางสาววิลาสินี พิพิธกุล ผู้อำนวยการ ส.ส.ท.
อย่างไรก็ตาม วิญญูชนตั้งคำถามตรงกันคือ ที่ปรึกษาด้านการเงินฯ มีหน้าที่และขอบเขตการทำงานและความรับผิดชอบในหน้าที่มากน้อยเพียงใด แต่การที่พยานบุคคลให้การราวกับว่าการตัดสินใจในเรื่องนี้เกิดมาจากที่ปรึกษาด้านการเงินฯ จึงเป็นเรื่องน่าสงสัย และเกิดคำถามตามมาว่าที่ปรึกษาด้านการเงินฯ มีอำนาจมากมายถึงเพียงนั้นหรือ แล้วคำถามที่ตามมาอีกข้อก็คือ เมื่อที่ปรึกษาด้านการเงินฯ ให้คำแนะนำแล้ว กระบวนการกลั่นกรองเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจภายในองค์การฯ เป็นอย่างไร เพราะไม่มีความเป็นไปได้ที่ที่ปรึกษาจะตัดสินใจดำเนินการสั่งจ่ายเงินขององค์การฯ ได้โดยด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจโดยตรง
ยิ่งเมื่ออ่านคำให้การหรืออาจจะเรียกได้ว่าคำซักทอดแล้ว ปรากฏว่าพยานทุกรายพูดราวกับว่าที่ปรึกษาด้านการเงินฯ คือตัวการของเรื่องที่เกิดขึ้น แต่น่าอัศจรรย์ใจมากที่สุดที่คณะกรรมการฯ กลับมิได้เชิญผู้ซึ่งคล้ายจะตกเป็นผู้ถูกกล่าวหากลับไปให้ปากคำ
เมื่ออ่านข้อ 3.2.1 ที่ระบุว่า ...นางสาวภิญญาพัชญ์ได้รับมอบหมายจากนางสาวอัจฉราให้ดำเนินการเกี่ยวกับการลงทุนตราสารหนี้ จึงได้ไปสอบถามมติคณะกรรมการนโยบายจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ นโยบาย เมื่อได้รับมติมาแล้วจึงได้ติดต่อธนาคาร 3 แห่ง คือ ธนาคาร ทิสโก้ จำกัด บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมกิมเอ็ง และธนาคาร เกียรตินาคิน จำกัด
ขอให้พิจารณาตรงประเด็นธนาคาร 3 แห่งที่อ้างไว้นี้ เมื่อพิจารณาตรงนี้ก็จะพบว่ามีความผิดปกติ เพราะบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมกิมเอ็งไม่ใช่ธนาคาร แล้วเหตุใดจึงไปติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ฯ แล้วยิ่งประหลาดมหัศจรรย์เป็นที่สุด เพราะข้อความในรายงานการสอบสวนหน้าหนึ่งระบุชัดเจนว่า ...เห็นควรบริหารเงินฝากโดยใช้วิธีโอนผ่านระบบเงินบาทเนตเพื่อซื้อหุ้นกู้ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF218B) โดยซื้อกับบริษัท ภัทร จำกัด (มหาชน) โดยโอนเงินฝากบัญชีธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) สาขาฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต จำนวนเงิน 193,615,453.80 บาท (จำนวนเงินที่ซื้อหุ้นกู้ 180,000,000 บาท บวก 13,615,453.80 บาท เป็นจำนวนเงินส่วนต่างจากการลงทุนในตลาดรอง) อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ (YIM) 3.06% ระยะเวลาตั้งแต่ 20 มกราคม 2560 ถึงวันที่ 2 สิงหาคม 2564
ขอให้พิจารณาจากประเด็นการซื้อหุ้นกู้ตัวนี้จากบริษัท ภัทร จำกัด (มหาชน) ก่อน จะเห็นได้ว่าไม่มีการพูดถึงมาก่อนในการไปติดต่อธนาคารสามแห่ง ซึ่งแห่งหนึ่งก็มิใช่ธนาคาร แต่สุดท้ายกลับไปซื้อจากบริษัท ภัทร มีคำถามว่า แล้วเหตุใดจึงซื้อจากบริษัทภัทร คำถามตามมาคือใครแนะนำให้ซื้อจากบริษัทภัทร ส่วนประเด็น YIM ที่ระบุไว้นั้น น่าจะเกิดความไม่เข้าใจจริงของผู้ให้ปากคำหรือคณะกรรมการสอบสวนฯ เพราะไม่มีคำว่า YIM ในแวดวงธุรกิจการเงิน แต่มีคำว่าYTM คือ Yield to Maturity (ผลตอบแทนเมื่อสิ้นสุดอายุการไถ่ถอน, อัตราผลตอบแทนที่ทำให้ PV (present value) ของกระแสเงินสดที่ได้รับจากตราสารหนี้เท่ากับมูลค่าของตราสารหนี้ในวันนี้, การเปรียบเทียบว่าตราสารใดมีต้นทุนต่ำกว่าหรือให้ผลตอบแทนสูงกว่า)
ข้อน่าสังเกตอีกประการในหน้า 12 ของรายงานการสอบสวน ... รศ.วิลาสินี จำไม่ได้ว่าเรื่องกระบวนการลงทุนมีวาระเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารหรือไม่ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับกรณีที่คณะกรรมการบริหารได้มีการตั้งคำถามหรือหารือกันเรื่องเกี่ยวกับคนที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะนำสภาพคล่องส่วนเกินไปลงทุนตามกรอบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนดไว้ และควรมีกระบวนการลงทุนหรือไม่นั้น รศ.วิลาสินีจำไม่ได้ ซึ่งทราบแต่ว่าผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ณ ขณะนั้น ได้หารือกับที่ปรึกษาทางการเงินฯ (นางสาวอัจฉรา) และรศ.วิลาสินีไม่มีส่วนในการหารือเรื่องดังกล่าวด้วย สำหรับบทบาทหรืออำนาจของที่ปรึกษาด้านการเงินฯ ถ้าเป็นการประชุมแบบเป็นทางการ ไม่เคยพูดเรื่องดังกล่าว แต่เคยแสดงความกังวลใจอย่างไม่เป็นทางการกับผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ...
อย่างไรก็ตาม รศ.วิลาสินีก็คือหนึ่งในผู้ร่วมลงนามซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวกับผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ในขณะนั้น ส่วนจะอ้างว่าจำเป็นต้องลงนามด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็มิได้หมายความว่าข้ออ้างนั้นจะทำให้หลุดพ้นจากการเป็นผู้ร่วมลงนามในคำสั่งซื้อ
ส่วนคำถามที่ว่า ไทยพีบีเอสมีคณะกรรมการตรวจสอบ และสำนักงานตรวจสอบภายในหรือไม่ คำตอบก็คือมี ส่วนที่มีคำถามว่าแล้วหน่วยงานดังกล่าวทำหน้าที่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ
หรือไม่ คำถามนี้คงต้องให้ผู้ถูกตั้งคำถามตอบสาธารณชนด้วยตนเอง แต่ถ้าหากทำหน้าที่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้ว จะก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟในครั้งนั้นหรือไม่ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบในหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบและสำนักงานตรวจสอบภายใน
ส่วนประเด็นที่ว่าคณะกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอสจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไรนั้น คำถามนี้คงไม่มีคำตอบใดๆ จากคณะกรรมการนโยบาย เพราะหากจะมีการรับผิดชอบเกิดขึ้นจริง
คณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอสจะต้องแสดงความรับผิดชอบให้ปรากฏมาตั้งนานแล้ว
หมายเหตุ หากคุณผู้อ่านต้องการจะรับรู้ข้อน่าสงสัยอื่นๆ อีกมากมายเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นกู้ซีพีเอฟโดยไทยพีบีเอส สามารถอ่านรายละเอียดได้จากประกาศองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย เรื่องผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีซื้อหุ้นกู้บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ และอ่านรายงานการสอบสวน ที่เรียนต่อประธานคณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอส อ่านแล้วจะเห็นความน่าสงสัยอีกหลายประการ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี