อำนาจเป็นสิ่งมัวเมาถ้าใครได้ลิ้มลองหลงระเริงมัวเมาอยู่ในอำนาจไม่ว่าในทางการเมือง หรือในทางใด ทั้งข้าราชการและนักธุรกิจ ถ้าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจความโลภจากการมีอำนาจจะทำลายตนในที่สุด
ตัวอย่างของนักการเมืองในอดีต เช่น จูเลียสซีซาร์ ในสมัยโรมัน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งประเทศเยอรมัน มุสโสลินี แห่งประเทศอิตาลี โตโจ แห่งประเทศญี่ปุ่น ผู้เผด็จการในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 ต้องพ่ายแพ้ย่อยยับและถูกลงโทษประหารชีวิต หรือทำอัตวินิบาตกรรมในที่สุด
สำหรับประเทศไทยนั้น ในอดีตอันใกล้นักการเมืองที่เปลี่ยนแปลงการปกครองก็ดี นายกรัฐมนตรี ที่มีอำนาจเผด็จการอยู่ในมือ ได้แก่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร รวมทั้ง พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อมวลมหาประชาชน ในที่สุด ลี้ภัยและเสียชีวิตในต่างแดน
ที่กล่าวมานี้หมายถึงนักการเมือง สำหรับข้าราชการประจำและนักธุรกิจนั้น ความโลภทำให้เสียคนถูกดำนินคดีฐานฉ้อราษฎร์บังหลวง ติดคุก
ติดตาราง และสำหรับกลุ่มสุดท้ายที่เกิดขึ้นเป็นข่าวครึกโครมในขณะนี้ ได้แก่ พระสงฆ์ เริ่มจากคดีธรรมกาย ต่อมาคดีเกี่ยวกับเงินทอนวัดซึ่งจากทั้งข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับวัดและภิกษุสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่
ปัญหาต่างๆ ที่กล่าวข้างต้นเกิดจากอำนาจของผู้มีหน้าที่การบริหารประเทศ หรืออำนาจของบุคคลธรรมดาและพระภิกษุที่มีอำนาจหน้าที่ ความโลภเพราะตำแหน่งและอำนาจที่มีทำให้สำคัญผิดว่ายิ่งใหญ่ เกิดความโลภว่าเงินทอน เงินปากถุง หรือทั้งเงินแป๊ะเจี๊ยะ รวมทั้งที่เรียกว่ากินตามน้ำ ทั้งหมดเกิดจากกิเลสที่เป็นบ่อเกิดแห่งความโลภโมโทสันทั้งสั้น
สรุปรวมความว่า อำนาจและเงินตรา กล่าวได้ว่า เป็นสิ่งเสพติดที่บุคคลเมื่อมีอำนาจหรือมีเงิน (ซึ่งเชื่อว่าเงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้) หลงใหลในสิ่งดังกล่าว ถ้าไม่ยับยั้งด้วยตัวเอง หรือมีกติกาที่กำหนดให้เกิดการยับยั้ง เช่น ทางการเมืองก็ใช้กติกาที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” เป็นเครื่องยับยั้ง ส่วนกิเลสที่เกี่ยวกับเงินตรานั้นก็มีกติกา คือ กฎหมายที่มีบทกำหนดโทษไว้ ก็ดี ในสังคมใดถ้าไม่มีกติกาที่จะยับยั้งที่กำหนดให้ผู้มีอำนาจโดยเฉพาะทางการเมืองที่ผู้ปกครองมีอำนาจเด็ดขาด หรือเผด็จการ สังคมนั้นจะต้องพบกับพลังมวลชนที่ลุกขึ้นต่อต้านหรือกลุ่มผู้มีอำนาจใหม่ยกเว้นว่าถ้าผู้เผด็จการจะเปลี่ยนพฤติกรรมโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองอย่างแท้จริง จึงจะทำให้สังคมมีความสงบเพราะเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ตามหลักสากลในสังคมโลก
ในสังคมประชาธิปไตยนั้น เป็นสังคมที่มีการตรวจสอบ หมายความว่า การบริหารประเทศ ประกอบด้วย กลุ่มคนสองฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายดำเนินการบริหารและฝ่ายตรวจสอบ ซึ่งทั้งสองฝ่าย ต่างเป็นตัวแทนของประชาชน และมีวาระในการทำงานฝ่ายบริหาร ได้แก่ รัฐบาล และฝ่ายตรวจสอบ ได้แก่ สภานิติบัญญัติ หรือสภาผู้แทนราษฎร ทั้งสองฝ่ายต่างมีรากฐานมาจากประชาชน ทำหน้าที่แทนประชาชน ฉะนั้น เมื่อพ้นวาระในการดำรงตำแหน่งประชาชนจะเป็นผู้เลือกตัวแทนเข้าไปทำงานแทนพวกเขา ซึ่งสังคมเช่นนี้เรียกว่า “สังคมประชาธิปไตย”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี