รัฐบาล คสช. ทำให้ผู้เห็นคุณประโยชน์ของพืชสมุนไพรที่ชื่อว่า “กัญชา” มีความหวังมากกว่าทุกยุค
คณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ที่มี นพ.โสภณ เมฆธน เป็นประธาน ได้เริ่มประชุมทำงานกันมาแล้ว
ขณะเดียวกัน การดำเนินการแก้ไขกฎหมายยาเสพติดก็มีการดำเนินการคู่ขนานกันไป
เป้าหมายเบื้องต้น คือ ปลดล็อกการวิจัยละพัฒนา “กัญชา” เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในประเทศไทย
ล่าสุด นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ดอภ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เปิดเผยว่า
“...ประเทศไทยต้องเริ่มขยับในการศึกษาวิจัยและพัฒนากัญชา เพราะโรคบางโรคยังไม่มียารักษาที่ได้ผลดี แต่มีข่าวทางการแพทย์ปัจจุบันว่าบางโรคกัญชารักษาได้ บวกกับตำรายาแพทย์แผนไทยก็มีการระบุใช้กัญชาเป็นส่วนประกอบในบางตำรับเช่นกัน ทำให้เห็นว่าควรเริ่มมีการดำเนินการในเรื่องนี้...
...คาดว่าในอีก 9 เดือน หรือราวกุมภาพันธ์ 2562 ประเทศไทยจะมีกัญชาใช้ในคน โดยการนำมาศึกษาวิจัยในคนภายใต้โรคที่มีข้อมูลชัดเจนว่าสามารถใช้ได้ เนื่องจากน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติ (สนช.) และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว....
กฎหมายใหม่ยังกำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 เหมือนเดิม เพียงแต่เปิดช่องให้รัฐมนตรีสามารถออกประกาศเพื่อให้สามารถนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ โดยจะมีระบบควบคุมที่รัดกุม ไม่ให้มีการนำกัญชาไปใช้ในทางอื่น และประชาชนไม่สามารถปลูกหรือใช้เองได้จะมีความผิดตามกฎหมายเหมือนเดิม”
1.เห็นด้วยกับการวางกรอบการปลดล็อกกัญชาในเบื้องต้น ภายใต้กรอบขอบเขตการใช้เพื่อการแพทย์
ยังไม่ได้เปิดเสรี หรือเปิดให้ปลูก ขาย และเสพเพื่อสันทนาการได้ทั่วไป (เหมือนบางประเทศ)
2.สนับสนุนการเร่งรีบใช้ประโยชน์จากกัญชา โดยต่อยอดจากตำราการแพทย์แผนไทย ซึ่งเป็นมรดกทางภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ
ในการนี้ ควรระดมการมีส่วนร่วมของแพทย์แผนไทยในบ้านเรา ไม่จำกัดเฉพาะข้าราชการหรือกระทรวงสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็น หมอพื้นบ้าน หมอสมุนไพร ปราชญ์ชาวบ้าน แพทย์แผนไทยรุ่นใหม่ ฯลฯ เพื่อให้เกิดความครอบคลุม รอบด้าน และไม่เกิดการผูกขาดทางความรู้ ทั้งยังจะเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อน เพราะปัจจุบันจะต้องแข่งขันกับต่างประเทศด้วย
3.ขอท้วงติงเงื่อนเวลา ว่าควรดำเนินการเร็วที่สุด
กำหนดเดือน ก.พ. 2562 นั้น เข้าใจว่า คะเนจากกระบวนการด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
พอดีกับช่วงเวลาเลือกตั้ง ตามโรดแมป
เรื่องกัญชาเพื่อการแพทย์ เป็นเรื่องที่มีการแข่งขันในสังคมโลกทุกนาที ไม่ใช่ทุกวัน
ทุกวันที่เราช้าไป ประเทศอื่นๆ ก็เดินหน้าวิจัยและพัฒนา รวมถึงจดทะเบียนสินค้าของตนเองในสังคมโลก ซึ่งสุดท้าย ก็จะกลายมาเป็นคู่แข่ง หรือกลายมาเป็นผู้ขายสินค้าให้กับเรา หากเราล่าช้า ไม่ทันการเปลี่ยนแปลง
พูดกันตรงๆ ดูจากท่าทีและความเห็นของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ชัดเจนว่า ทุกคนมีคำตอบอยู่แล้ว ว่าการปลดล็อกกัญชาเพื่อการแพทย์ และการดำเนินการนั้นเกิดประโยชน์ต่อสังคมไทยแน่นอน
นพ.โสภณ ก็ยืนยันเองว่า โรคบางโรค เช่น โรคลมชัก บางทีที่ยาคุมไม่ได้ ทำให้คุณภาพชีวิตไม่ดี พอได้กัญชาเข้าไปก็คุมได้, โรคที่ยังไม่มียารักษา เช่น พาร์กินสัน มีอาการเกร็งเดินไม่ได้ ต้องนั่ง แต่บางคนบอกว่าพอได้รับยากัญชาก็ลุกขึ้นมาเดินได้ รวมถึงโรคมะเร็ง ซึ่งในผู้ป่วยระยะสุดท้ายจะช่วยลดอาการปวด ทำให้อยากอาหาร ส่วนฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งมีการพูดถึงแต่ยังไม่ 100%
แถมยังเปิดเผยด้วยว่า ในอดีต กัญชาไทยถือเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลก แต่เพราะถูกจัดเป็นยาเสพติด จึงไม่สามารถทำอะไรได้ ปัจจุบันต่างประเทศนำไปใช้จำนวนมาก พัฒนาสายพันธุ์ดีกว่ากัญชาไทย
“...ไทยมีความพร้อมในทุกมิติที่จะศึกษาวิจัยพัฒนากัญชาเป็นยา ได้แก่ 1.สายพันธุ์ที่มีอยู่ในประเทศ ซึ่งในอดีตสายพันธุ์ไทยเคยเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุด 2.มีนักวิชาการด้านเกษตรที่มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาสายพันธุ์พืชทั้งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) หรือโครงการหลวงที่สามารถพัฒนาพืชเมืองหนาว ทั้งไม้ดอกไม้ผลมาปลูกในเมืองไทยได้ผลดีมากๆ ทำให้สามารถพัฒนาสายพันธุ์กัญชาให้มีสารสำคัญให้มีปริมาณสูงเพื่อใช้ทางการแพทย์ได้ 3.ประเทศไทยเป็นเมืองเกษตรกรรม เชื่อว่าจะสามารถพัฒนาสายพันธุ์ได้ และ 4.มีองค์ความรู้ในเรื่องการสกัดสาระสำคัญมาใช้ประโยชน์ ซึ่งองค์การเภสัชกรรม (อภ.) และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์สามารถดำเนินการได้”-นพ.โสภณกล่าว
คำถาม คือ แล้วจะมัยพิรี้พิไรไปเพื่ออะไร?
แน่นอนว่า ในแง่การวิจัยและพัฒนา ยังมีสิ่งที่ต้องทำมากกว่านี้ แต่องค์ความรู้พื้นฐาน โดยเฉพาะในแง่ของกัญชาว่าการเป็นพืชสมุนไพร มีรองรับอยู่แล้ว
คสช. มีอำนาจตามมาตรา 44 สามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนร่วม ซึ่งเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสุขภาพของสังคม เนื่องจากผู้ป่วยจำนวนมาก ทั้งที่เจ็บปวดกับโรคมะเร็ง และโรคชนิดอื่นที่เรื้อรัง รอคอยประโยชน์จากการปลดล็อกกัญชาเพื่อการแพทย์กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกนาที
หากล่าช้าไป (ยังไม่ต้องเอ่ยว่าถ้าช้าจนต้องไปรอรัฐบาลสมัยหน้า) จะเข้าทำนอง “กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้”
ถ้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ตัดสินใช้มาตรา 44 ปลดล็อกเงื่อนเวลาในขั้นตอนกฎหมาย เพื่อเปิดทางให้กับกัญชาเพื่อการแพทย์ แน่นอนว่าจะเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการแพทย์แผนไทย และอนาคตใหม่ของการพัฒนากัญชาเพื่อการแพทย์ต่อไป
4.ต่างประเทศ ไปถึงไหนแล้ว
ล่าสุด วุฒิสภาแคนาดาเห็นชอบกฎหมายว่าด้วยกัญชา ที่จะอนุญาตให้ประชาชนใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้อย่างถูกกฎหมาย (หลังจากให้ใช้ในทางการแพทย์ได้ก่อนแล้ว)
โรงปลูกกัญชาใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ที่แคนาดา (โรงปลูกระบบปิด)
ในสหรัฐ รัฐแคลิฟอร์เนีย คือรัฐล่าสุดที่อนุญาตให้จำหน่ายกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แก่ผู้มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา เพิ่มเติมจากอีก 7 รัฐ ที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสันทนาการได้ ได้แก่ โคโลราโด, วอชิงตัน, ออริกอน, อะแลสกา, เมน, แมสสาชูเสตส์, และเนวาดา
ในเดือน ม.ค.-ก.พ. 2561 รัฐแคลิฟอร์เนียมียอดขายกัญชาถูกกฎหมาย 10,876 ล้านบาท
ข้อมูลจากแฟนเพจ “ลงทุนแมน” ระบุถึงบริษัทกัญชาที่ใหญ่สุดในโลก ได้แก่ บริษัท Canopy Growth Corporation เป็นบริษัทสัญชาติแคนาดา ขายส่งกัญชาไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีทั้งรูปแบบแห้ง และรูปแบบที่ใช้ทางการแพทย์ ภายใต้แบรนด์ยี่ห้อ Tweed
บริษัท Canopy Growth Corporation จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นประเทศแคนาดา
มูลค่าบริษัท (Market Cap.) ของบริษัทนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ปี 2016 มูลค่า 4,595 ล้านบาท
ปี 2017 มูลค่า 22,728 ล้านบาท
ปัจจุบัน มูลค่า 153,960 ล้านบาท
สาเหตุที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะปัจจุบัน หลายประเทศทั่วโลกพยายามทำให้กัญชาซื้อขายเชิงพาณิชย์ได้มากขึ้น ยิ่งเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น
ทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายความว่า ประเทศไทยเราจะต้องเปิดขนาดนั้น
แต่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในบริบทต่างประเทศ ว่าไปไกลแค่ไหน แล้วถ้าเรายังไม่เปลี่ยนแปลง เราจะเผชิญผลกระทบและค่าเสียโอกาสในรูปแบบใดบ้าง เช่น ผู้ป่วยเราจะต้องแอบซื้อยาที่มีส่วนผสมกัญชามาแอบใช้ในประเทศ ลักลอบนำเข้า ลักลอบใช้ หลบๆ ซ่อนๆ เป็นต้น
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี