พูดกันตรงๆ ว่า การยื่นขอให้อังกฤษส่งตัวยิ่งลักษณ์มาดำเนินคดี หรือบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลไทยนั้น เป็นแค่ “ขั้นตอนปกติ” ที่ต้องดำเนินการ ซึ่งยืดยาดและยืดเยื้อมาพักใหญ่ กว่าจะดำเนินการกัน
ดังนั้น จะหวังว่าจะได้ตัวยิ่งลักษณ์มาดำเนินคดี อย่าไปผลีผลามตั้งความหวังกันเลยครับ ก็ดูพี่ชายของเธอ “นายทักษิณ ชินวัตร” นั่นปะไร จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นประเทศไหนจะจับและส่งกลับมา
แต่น่าสนใจกว่า ว่า “ความเคลื่อนไหวในประเทศ” บอกอะไรกับเรา ซึ่งให้ดูจาก 2 เรื่องใหญ่ๆ
1) กระบวนการยึดทรัพย์ที่ไม่คืบหน้า ไม่เอาจริงเอาจัง
2) การดิ้นพล่านของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
ประเด็นแรกผมพูดไปบ่อยแล้ว ว่าผิดหวัง และรู้สึกเศร้าใจ ที่ไม่เห็นการบังคับคดีตามคำสั่งทางปกครอง ที่สั่งให้ยิ่งลักษณ์กับพวกชดใช้ค่าเสียหายจากการปล่อยปละละเลยในการกำกับและดำเนินนโยบายรับจำนำข้าว จนเกิดความเสียหายและการทุจริตขึ้นอย่างมโหฬาร มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง คณะกรรมการกำหนดความเสียหาย ผู้เกี่ยวข้องลงนามในคำสั่งทางปกครองแล้ว ตั้งคณะกรรมการสืบทรัพย์ ออก ม.44 ให้กรมบังคับคดี ทำหน้าที่ยึด-อายัดทรัพย์ได้ แต่สุดท้าย การเข้ายึดอายัดจริงๆ ก็ไม่คืบหน้าเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น ตีฆ้องร้องป่าวว่าความเสียหายเกิดขึ้นอย่างมหาศาลเพียงใด
จึงเป็นสัญญาณที่บอกความ “ใช้ไม่ได้-ไม่จริงจัง” ของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ชัดเจนมาก
มาเรื่องที่ 2 การออกมาดิ้นของ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่เข้ายื่นหนังสือต่อเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เพื่อแสดงหลักฐานเพิ่มเติมที่เขาอ้างว่า เป็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันจะนำไปสู่การพิจารณาได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกดำเนินคดีที่เข้าข่ายความผิดที่มีลักษณะทางการเมือง
โดยนายเรืองไกรพยายามบอกว่า ที่พูดถึงสนธิสัญญานั้น ความจริงคือ สัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกรุงสยามกับอังกฤษเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ.1911 หาใช่สนธิสัญญาแต่อย่างใด โดยสัญญาดังกล่าวข้อ 2 วรรคหนึ่ง ระบุความผิดซึ่งอาจจะส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้มีเพียงโทษ 31 รายการเท่านั้น ซึ่งไม่มีการระบุถึงโทษคดีทางการเมืองไว้แต่อย่างใด และความในสัญญาข้อ 2 วรรคสาม ก็ระบุไว้ชัดเจน ดังนี้ “ถ้าโทษอย่างอื่นๆ นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ถ้ามีความอยู่ในกฎหมายซึ่งใช้อยู่ทั้งสองฝ่ายว่าจะส่งผู้ร้ายให้กันและกันได้ ก็สุดแล้วแต่ประเทศซึ่งรับคำขอให้ส่งนั้นจะเห็นสมควรว่า จะส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้ต่อกัน หรือไม่”
นายเรืองไกรกล่าวต่อว่า คดีความที่เกิดกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจพิจารณาได้ว่า ล้วนมีที่มาจากประเด็นทางการเมือง โดยมีเหตุผลสนับสนุนหลายประการ เช่น
1.คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ลงมติชี้มูลความผิดต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส่วนหนึ่งที่ยังอยู่ปฏิบัติหน้าที่มาจากการแต่งตั้งตามประกาศ คปค.ที่ 19 กรณีนี้จึงเป็นความผิดที่มีลักษณะทางการเมือง
2.คำร้องขอถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ชอบ เพราะไม่ได้ทำตาม พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 มาตรา 61 และคำร้องดังกล่าวยังมีบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ สส. แต่เป็นกลุ่ม กปปส. ร่วมลงชื่ออยู่ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ ทั้ง ป.ป.ช. และ สนช. ก็ทราบข้อมูลนี้แล้ว แต่ก็ยังลงมติถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อตัดสิทธิทางการเมือง ดังนั้น คดีถอดถอนจึงเป็นคดีที่มีลักษณะทางการเมือง
3.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกตัดสินให้มีความผิดทางอาญานั้น เริ่มมาจากการใช้ระบบศาลชั้นเดียว ถึงแม้รัฐธรรมนูญ 2560 จะแก้เรื่องนี้ให้ดูเหมือนว่ามี 2 ชั้นแล้วก็ตาม แต่องค์คณะของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ยังมาจากการเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเหมือนเดิม จึงมีปัญหาว่า ยังถือเป็นระบบศาลชั้นเดียวอยู่เช่นเดิมหรือไม่ เพราะโดยทั่วไปศาลต่างชั้นกัน หมายถึง ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา
4.การที่ไทยขอตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ จากอังกฤษ โดยอ้างสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกรุงสยามกับอังกฤษเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1911 ก็มีปัญหา เนื่องจากพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 ที่ใช้ในการขอตัวนั้น ตราขึ้นโดยองค์ประชุม (Quorum) ของ สนช. ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จึงเป็นการตรากฎหมายที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ตามแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
5.ในคดีทางปกครอง การคิดค่าเสียหายมาจากการสั่งการและเห็นชอบของฝ่ายที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดังนั้น คดีดังกล่าวจึงเป็นคดีความผิดทางปกครองที่มีลักษณะทางการเมือง
นายเรืองไกรกล่าวอีกว่า เรื่องที่ตนยกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น จะทำให้เห็นได้ว่า ทั้งคดีถอดถอนจากตำแหน่งเพื่อตัดสิทธิ์ทางการเมือง คดีทางปกครองที่เรียกให้ชดใช้ค่าเสียหาย และคดีอาญาที่ตัดสินลงโทษจำคุก นั้น ล้วนมีเหตุมาจากการยึดอำนาจทั้งสิ้น ดังนั้นจะมองแค่ผลของการถอดถอน หรือผลของคำพิพากษาแล้วก็กล่าวอ้างว่า ไม่ใช่คดีความผิดที่มีลักษณะทางการเมือง ก็จะเป็นแคการตีความเพื่อใช้กฎหมายแบบหวังผลทางการเมือง ในลักษณะรูปแบบสำคัญกว่าเนื้อหา (Form over Substance) ที่ขัดแย้งกับหลักนิติธรรม (Rule of law) ซึ่งหาควรเป็นเช่นนั้นไม่
นอกจากนี้ การจะขอให้อังกฤษส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น คงต้องอ้างความในพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 หมวด 4 กรณีประเทศไทยร้องขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งมี 4 มาตรา คือ มาตรา 29 ถึงมาตรา 31 แต่เมื่อดูความตามมาตรา 4 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า“พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับแก่บรรดาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อความตามสนธิสัญญาเกี่ยวกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ” ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีการระบุถึงเฉพาะคำว่า “สนธิสัญญา” เท่านั้น โดยไม่มีการระบุให้หมายความรวมถึงคำว่า “สัญญา”
แต่อย่างใด ทั้งที่ในพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 ที่ถูกยกเลิกไป มีความในมาตรา 3 บัญญัติไว้ว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับแก่บรรดาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในกรุงสยาม เท่าที่ไม่แย้งกับข้อความในหนังสือสัญญา อนุสัญญา หรือความตกลงกับรัฐบาลต่างประเทศ หรือในประกาศกระแสพระบรมราชโองการที่ได้ออกเกี่ยวกับหนังสือสัญญา อนุสัญญาและความตกลงนั้นๆ” นายเรืองไกรกล่าว
คำถามก็คือ
1) นายเรืองไกรมีหน้าที่อะไร หรือเป็นอะไรกับนางสาวยิ่งลักษณ์ จึงต้องเคลื่อนไหวจริงจังขนาดนี้
2) การยื่นหนังสือผ่านสถานทูตอังกฤษ มีผลอะไรในทางคดีหรือคำขอที่ทางการไทยส่งไปยังอังกฤษโดยตรงไหม
3) เขากำลังเบี่ยงเบนประเด็น จากกระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอน ที่ยิ่งลักษณ์มีโอกาสได้สู้ทุกขั้นตอน ไปเป็นเรื่อง “การเมือง” โดย “เผด็จการทหาร” ใช่หรือไม่ หากมองกันแค่ฉาบฉวย ไม่ว่าจะโดยคนในประเทศไทยเอง หรืออังกฤษ ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับยิ่งลักษณ์ใช่หรือไม่
4) เรื่องนี้ชัดเจนมากๆ ว่า เริ่มต้นมาจากการ “ไม่ฟังคำเตือน” จากทุกๆ ฝ่าย ว่าโครงการรับจำนำข้าว มีการทุจริต มีความเสียหาย ที่ต้องหยุดยั้งและแก้ไข ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯ ในฐานะประธานกรรมการข้าว และในฐานะผู้กำกับนโยบายดังกล่าว มีอำนาจเต็มที่จะหยุดยั้งและแก้ไข แต่ไม่ทำ ย่อมมีความผิด และศาลก็ตัดสินความผิดไปแล้ว หลังยิ่งลักษณ์ต่อสู้ด้วยพยานหลักฐานเต็มครบทุกนัด
5) เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะการ “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” ของพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้น คือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งกฎหมายระบุว่า ถ้าอภิปรายพาดพิงถึงการทุจริต ต้องยื่นให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบด้วย ทั้งหมดเกิดขึ้นในยุคที่ยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาล ไม่ใช่ในยุค คสช. เป็นรัฐบาล
6) เป็นเรื่องหน้าด้านและน่าอาย ที่จะลอยหน้าลอยตา บอกว่าโครงการนี้ไม่มีความเสียหาย ยิ่งลักษณ์ไม่ต้องรับผิดชอบ ทั้งหมดเป็นเรื่องทางการเมือง
7) นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ยื่นอภิปรายและเปิดโปงในเรื่อง “จำนำข้าว” นี้ กล่าวว่า “ความจริงเรื่องคดีจำนำข้าวนี้ มีการพูดกันซ้ำแล้วซ้ำอีก คนของพรรคเพื่อไทยไม่กล้ากล่าวอ้างว่า ถูกพรรคประชาธิปัตย์ตรวจสอบ โดยอาศัยระบบรัฐสภา ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะนอกจากจะเป็นเครดิตของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว จะยิ่งทำให้ต่างชาติรับรู้ว่า เรื่องนี้เป็นการทุจริต และใช้กระบวนการทางกฎหมายปกติ ดำเนินคดีนางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่เกี่ยวกับการรัฐประหารแต่อย่างใด จึงไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นเรื่องของการโกงที่ถูกฝ่ายค้านจับได้
ส่วนข้ออ้างที่ว่า การพิจารณาคดีของศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นระบบศาลเดียว ไม่เปิดให้มีการอุทธรณ์ แสดงว่าคนเหล่านี้จะหาข้ออ้างเพื่อบิดเบือน โดยไม่ดูข้อเท็จจริงของ รธน.ใหม่ ที่เปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ คดีของนักการเมืองได้ เพียงแต่นางสาวยิ่งลักษณ์ คิดที่จะหนี แต่ไม่คิดที่จะอุทธรณ์เท่านั้นเอง การที่นายเรืองไกร ไปร้องสถานทูตอังกฤษต่อคดีดังกล่าว จึงเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องต่อเขา
ที่สำคัญนายทักษิณและนางสาวยิ่งลักษณ์ น่าจะมีสำนึก ที่ทางอังกฤษเขาไม่ได้ให้สถานะลี้ภัยทางการเมือง แต่กลับเอาแผ่นดินของเขาไปเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงไม่แปลกที่มีสัญญาณของการส่งผู้ร้ายข้ามแดนเกิดขึ้น ทราบจากข่าวว่า เก็บข้าวของบินออกจากอังกฤษค่อนข้างเร่งด่วน ควรจะทราบว่า ประเทศที่เขามีอธิปไตย เขาไม่ให้คนต่างชาติไปเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศเขาครับ”
8) แล้วเรืองไกรต้องการอะไร?
8.1 ทำหน้าที่ “ที่ปรึกษา” ที่ดีของพรรคไง ดีกว่าหลายคนที่ไม่ทำงานอะไรให้เจ้าของพรรคเห็นเลย
8.2 เขาอาจว่า เขากำลังรักษาความถูกต้องอยู่ก็ได้
8.3 พรรคนี้ไม่เหลือ “จุดขาย” อะไร นอกจากขายความน่าสงสาร คือ ชะตากรรมของพี่ชายน้องสาวแห่งตระกูลชินวัตรกิน แล้วกันมาเล่นประเด็น “เผด็จการทหาร” คู่เคียงกันไป
ในฐานะคนมีความรู้ทางบัญชี แปลกใจไหม เรืองไกรไม่เอาเรื่องทางบัญชีมานำเสนอเรื่อง “ความฉิบหาย” ของโครงการนี้เลย ไม่พูดเรื่อง “โกง” ไม่พูดเรื่อง “หนี้” ไม่พูดเรื่อง “ภาระทางการเงิน” ไม่พูดเรื่องการ “ขาดทุน” ไม่พูดเรื่องทางเลือกอื่นๆ ที่ก็ช่วยชาวนาโดยไม่พาประเทศชาติไปสู่ความฉิบหายและคดโกงได้
เรืองไกรเป็นคนยังไง
ดูได้จากเรื่องนี้ (อีกเรื่องหนึ่ง)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี