มหันตภัยธรรมชาติมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว อุทกภัย ภูเขาไฟระเบิด สามารถสร้างความเสียหายได้อย่างร้ายแรง สำหรับประเทศไทย และประเทศในแถบเอเชีย ภัยพิบัติอย่างหนึ่งที่สร้างความหายนะคือ การเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ
สึนามิ (Tsunami) เป็นภาษาญี่ปุ่น หมายถึง คลื่นที่ท่าเรือ หรือคลื่นชายฝั่ง เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ธารน้ำแข็งไถล คลื่นสึนามิไม่เหมือนคลื่นทะเลทั่วไป เพราะมีความยาวคลื่นมากกว่า
การเกิดสึนามินั้นพยากรณ์ให้แม่นยำได้ยากมาก โดยทั่วไปจะใช้ข้อมูลความสูง และเวลาเดินทางถึงของคลื่น เช่นเดียวกันกับการพยากรณ์แผ่นดินไหว ที่นักวิทยาศาสตร์พยายามจะพยากรณ์แต่ยังไม่อาจทำได้ว่า จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นที่ใด และเมื่อใด คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นรุนแรงในครั้งอดีต ทำให้มีการเขียนถึงการล่มสลายของทวีปแอตแลนตีสเลยทีเดียว
คลื่นยักษ์สึนามิที่ร้ายแรงที่สุดในยุคปัจจุบัน คือ คลื่นที่เกิดในมหาสมุทรอินเดียเมื่อปี พ.ศ. 2547 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 230,000 คน ใน 14 ประเทศที่มีชายฝั่งติดกับมหาสมุทรอินเดีย สาเหตุที่มีผู้เสียชีวิตมากนอกจากคลื่นมีความรุนแรงแล้ว สึนามิยังเกิดขึ้นในบริเวณนี้เป็นครั้งแรก ทำให้ไม่มีการป้องกัน เตือนภัย หรืออพยพใดๆ เลย เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศเหล่านี้ ทั้งรัฐและประชาชนจึงไม่มีการเตรียมพร้อมใดๆ
การเกิดสึนามินั้นตามปกติในแถบเอเชียจะเกิดที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้ประเทศญี่ปุ่นมีการป้องกันเตรียมพร้อมได้ดี มีการสร้างเขื่อน หรือกำแพงกันคลื่น ซึ่งสามารถลดความเสียหายลงได้ เมื่อปี พ.ศ. 2554 เกิดแผ่นดินไหว ความสั่นสะเทือน 9 ริกเตอร์ ทำให้เกิดสึนามิสูงถึง 15 เมตร ญี่ปุ่นจึงสร้างแนวกำแพงยักษ์สูง 12 เมตรขึ้น เพื่อกันคลื่น นอกจากนี้ยังมีการสร้างกำแพงกันคลื่นสึนามิสูง 22 เมตร เพื่อป้องกันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฮามะโอกะ ที่ชิชุโอกะด้วย
สำหรับประเทศที่เกิดสึนามิไม่บ่อย เมื่อเกิดสึนามิขึ้นครั้งหนึ่งๆ จะสร้างความเสียหายได้มาก ดังเช่น การเกิดสึนามิในประเทศอินโดนีเซียเมื่อเร็วๆ นี้ ที่เกาะสุลาเวสี เมืองปาลู มีคนเสียชีวิตและไร้ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก สึนามิครั้งนี้เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวระดับ 7.5 ริกเตอร์ในทะเล นอกเกาะสุมาตรา อันเป็นบริเวณที่มีแนวโน้มที่จะเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด
การเกิดแผ่นดินไหวบนบกนั้น ไม่ทำให้เกิดสึนามิ แต่อาจทำให้มีคลื่นสูงเพียง 1-2 เมตร แต่การเกิดแผ่นดินไหวในทะเล จะสามารถทำให้เกิดสึนามิได้ คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นที่ประเทศอินโดนีเซียครั้งนี้สูงถึง 4.5 เมตร
จริงๆ แล้วประเทศอินโดนีเซียมีระบบเตือนภัยสึนามิที่นานาชาติบริจาคให้ เช่น ทุ่นลอยเตือนสึนามิ ที่มีการบริจาคให้อินโดนีเซียตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่มีการเกิดสึนามิขึ้นเป็นครั้งแรก โดยทุ่นลอยจะตรวจจับสึนามิจากช่วงความยาวของคลื่น
สาเหตุที่มีความเสียหายมากนั้น ไม่ได้เกิดจากทุ่นลอยเหล่านี้เสีย ใช้งานไม่ได้ หรือบกพร่องแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะทุ่นลอยเหล่านี้เป็นทุ่นลอยที่ใช้ในมหาสมุทร ทะเลลึก ใช้สำหรับตรวจจับคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ แต่การเกิดสึนามิครั้งนี้เกิดใกล้บริเวณชายฝั่ง ซึ่งเป็นน้ำตื้นกว่า ทำให้ทุ่นลอยเหล่านี้ตรวจสอบไม่พบสึนามิ
การเกิดสึนามิขึ้นครั้งนี้ ประเทศอินโดนีเซียมีการแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบในช่วงเวลาสั้นๆ แล้วยกเลิกไป ภายในเวลาไม่กี่นาที ทำให้ประชาชนเข้าใจว่า ไม่มีสึนามิเกิดขึ้นแล้ว จึงไม่มีการระวังตัว ไม่มีการอพยพหลบหนี เมื่อคลื่นมาถึงไม่สามารถหลบหนีได้ทันแล้ว
นอกจากนี้ทางการอินโดนีเซียยังได้ส่งข้อความเตือนภัยสึนามิให้ประชาชนทราบผ่านทางข้อความ SMS เข้าโทรศัพท์มือถือ ซึ่งประชาชนได้รับข้อความดังกล่าว แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านข้อความนั้น
การเกิดสึนามิครั้งนี้มีวีรบุรุษคือ นายแอนโทเนียส กูนาวัน อากุง ชายหนุ่มอายุ 21 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศของสนามบินใกล้เมืองปาลู เมื่อคลื่นสึนามิมาถึง หอบังคับการบินสั่นสะเทือนจะทลายลงมา ทุกคนพากันหลบหนี แต่นายอากุงยังอยู่ปฏิบัติหน้าที่ ต่อเพียงคนเดียว เพื่อส่งเครื่องบินของสายการบินบาติกแอร์ให้ขึ้นจากรันเวย์ได้อย่างปลอดภัย และนำผู้คนไปยังจุดหมายปลายทางอื่น เมื่อเครื่องบินขึ้นแล้ว หอบังคับการบินสั่นสะเทือนมาก นายอากุงจึงตัดสินใจกระโดดลงมา ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในที่สุด เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตนจนวินาทีสุดท้าย
นอกจากผู้คนจะเสียชีวิตเป็นจำนวนมากแล้ว สึนามิยังทำลายที่อยู่อาศัยในเมืองปาลู และเมืองใกล้เคียงอย่างราบคาบ แม้บ้านบางหลังจะไม่พังพินาศ แต่ทางการไม่ให้เจ้าของบ้านกลับเข้าพักอาศัย เพราะเกรงจะเกิดอันตราย ทำให้ผู้รอดชีวิตทั้งหมดต้องพักอาศัยอยู่กลางแจ้ง ขาดอาหารและน้ำสะอาดสำหรับบริโภค
เมื่อเกิดความเสียหายร้ายแรงขึ้นกับประเทศอินโดนีเซีย จึงควรที่จะมองย้อนมาถึงประเทศไทยว่า เราเตรียมการรับมือกับสึนามิไว้ดีพอหรือยัง ประเทศไทยมีมาตรการป้องกันภัยจากสึนามิของกรมอุตุนิยมอยู่หลายประการ เช่น เมื่อรู้สึกสั่นสะเทือนขณะที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง ให้ไปยังบริเวณที่สูง หรือที่ดอนทันที โดยไม่ต้องรอประกาศจากทางการ เนื่องจากสึนามิเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง หากมีการลดระดับน้ำทะเลมากที่ชายฝั่งหลังเกิดแผ่นดินไหวให้อพยพขึ้นที่สูง และหากมีประกาศของทางการเกี่ยวกับแผ่นดินไหวในทะเลอันดามันให้เตรียมพร้อมสำหรับการรับมือสึนามิ
หากที่อยู่อาศัยอยู่ใกล้ชายหาด ควรสร้างเขื่อน กำแพง ปลูกต้นไม้ วางวัสดุ เพื่อลดแรงปะทะของน้ำทะเล และสร้างที่อยู่อาศัยให้มีความแข็งแรง และหลีกเลี่ยงการสร้างที่พักอาศัยบริเวณที่มีความเสี่ยงสูง ทางด้านผังเมืองควรได้รับการจัดวางให้เหมาะสม โดยบริเวณที่อยู่อาศัยควรมีระยะห่างจากชายฝั่ง และมีการฝึกซ้อมรับภัยจากคลื่นสึนามิ เช่น กำหนดสถานที่ในการอพยพ แหล่งสะสมน้ำสะอาด ให้ประชาชนได้รับรู้และตระหนัก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม มีผู้ให้ข้อมูลว่า หอเตือนภัยสึนามิของประเทศไทยที่มีอยู่หลายหอนั้น บางหอไม่ทำงาน บางหอมีต้นไม้ขึ้นพันแน่น ขาดการบำรุงรักษา บางหอสัญญาณดังขึ้นเอง โดยไม่มีภัย สึนามิ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ควรมีการตรวจตรา บำรุงรักษา และเปลี่ยนเครื่องมืออุปกรณ์อยู่เสมอ เพื่อป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา โดยไม่ทราบว่าเมื่อใด
นอกจากนี้ ยังขาดการฝึกซ้อมระบบเตือนภัยเพื่อเตรียมการรับมือกับสึนามิอย่างสม่ำเสมอ ทั้งที่ตามปกติควรมีการฝึกซ้อมกันปีละ 2 ครั้ง หากมีภัยสึนามิเกิดขึ้นจะอพยพไม่ทัน ขาดความคล่องตัว และเกิดความเสียหายได้มาก
ดังนั้น เมื่อเห็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับประเทศอินโดนีเซียแล้ว เราควรเพิ่มความระมัดระวัง และเตรียมพร้อมให้มากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะสายเกินไป และเกิดความเสียหายรุนแรง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี