nn แม้ว่าจะทราบกันดีว่ากลุ่มผู้ประกอบการ SME ของไทยถือว่าเป็นโครงสร้างใหญ่ในระบบเศรษฐกิจไทย เพราะมีผู้ประกอบการร่วม 3 ล้านราย แต่ที่ผ่านมาหลายปีนี้ SME ของไทยก็ยังวนอยู่กับปัญหาเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเข้าถึงแหล่งทุน ขาดการพัฒนาระบบการผลิต คุณภาพสินค้ายังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
ล่าสุด กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้จัดกิจกรรม “Research Connect หรือตลาดต่อยอดงานวิจัยสู่อุตสาหกรรม” ขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี งานวิจัย และนวัตกรรมระหว่างผู้พัฒนาและผู้ประกอบการ พร้อมต่อยอดไปสู่เชิงพาณิชย์ โดยได้นำกว่า 50 ผลงานวิจัยและนวัตกรรมใน 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอาหารแปรรูป กลุ่มพลังงานและสิ่งแวดล้อม กลุ่มการแพทย์และสุขภาพ และกลุ่มซอฟต์แวร์และดิจิทัล มานำเสนอแก่ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ให้เกิดขึ้น
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า 5 ปัจจัยหลักที่ทำให้ SME ไทยยังไม่สามารถเข้าถึงการพัฒนาธุรกิจด้วยนวัตกรรมและงานวิจัยได้ ได้แก่ 1.การขาดองค์ความรู้ 2.ขาดเงินทุน 3.เครือข่ายเชื่อมโยงต่างๆ 4.ขาดกำลังคน และ 5.การกระจุกตัวของการพัฒนานวัตกรรมที่ส่วนใหญ่ยังอยู่แค่ในระดับส่วนกลาง อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการที่อยากเติบโตต้องมุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมและงานวิจัย 3 ด้าน คือ 1.การพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่เป็นสิ่งใหม่และไม่คุ้นเคย 2.นวัตกรรมที่เกี่ยวกับกระบวนการผลิต 3.การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมทางการตลาด
“การพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรมด้วยวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี หรือ Innovation Driven Economy นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ก้าวนำคู่แข่งและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเท่าทันกับสถานการณ์และบริบทต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
แม้ว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มสตาร์ทอัพและ SME เริ่มมีการตื่นตัวในเรื่องดังกล่าวพร้อมนำมาสร้างสรรค์เป็นบริการและสินค้าใหม่ๆ สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการพัฒนานวัตกรรมและงานวิจัย เมื่อเทียบสัดส่วนดังกล่าวกับจำนวน SME ที่มีอยู่ในประเทศไทยกว่า 3 ล้านรายแล้ว กลับพบว่ามีไม่ถึง 1% หรือไม่ถึง 30,000 ราย ที่มีการใช้งานวิจัยและนวัตกรรมเข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจ
สาเหตุหลักที่ทำให้SMEยังไม่สามารถเข้าถึงเรื่องดังกล่าวได้ เนื่องจาก 1.ขาดองค์ความรู้ โดยเฉพาะในเรื่องของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทั้งจากภายในและต่างประเทศ เช่น ข่าวรายวัน ผลงานวิจัยใหม่ๆ การศึกษาข้อมูลตัวอย่างของผู้ประกอบการต้นแบบที่ประสบความสำเร็จ ฯลฯ 2. ขาดเงินทุน เนื่องจากในการผลิตงานวิจัยหรือนวัตกรรมยังมีต้นทุนที่สูง 3.เครือข่ายเชื่อมโยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน สถาบันการศึกษา จึงยังทำให้ไม่มีโอกาสในการร่วมกันพัฒนานวัตกรรม หรือการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์มากนัก 4.ขาดกำลังคน ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรที่มีความรู้ในสถานประกอบการ การขาดเครื่องมือ ระบบดิจิทัล และเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ 5.การกระจุกตัวของการพัฒนานวัตกรรมที่ส่วนใหญ่ยังอยู่แค่ในระดับส่วนกลาง หรือระดับหัวเมือง จึงทำให้ผู้ประกอบการในระดับภูมิภาคยังติดอยู่กับรูปแบบธุรกิจเดิมๆ และไม่สามารถพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ได้
เป็นเรื่องที่ต้องเน้นย้ำกันสำหรับการยกระดับ SME ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรมนั้น ไม่เพียงแต่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดหรือสู้กับคู่แข่งได้ แต่ยังเป็นการปูทางไปสู่ความสำเร็จเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยจะเห็นได้ว่าบริษัทที่มีการเติบโตได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนเรื่องการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม และยังจะเห็นได้ว่าเมื่อมีการสร้างนวัตกรรมสำเร็จแล้ว สินค้าและบริการต่างๆ ยังเป็นตัวแปรและปัจจัยที่สำคัญในการกำหนดพฤติกรรมของผู้บริโภคและสร้างการจงรักภักดีต่อแบรนด์สินค้าได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ SME ในยุคใหม่จะต้องประกอบด้วย 1.การพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่เป็นสิ่งใหม่และไม่คุ้นเคย โดยจะต้องเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่ซ้ำกับสินค้าหรือบริการประเภทเดียวกัน เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค และมีความก้าวล้ำเหนือคู่แข่ง เช่น บริการหลังการขาย การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัย สินค้าหรือบริการที่มีหลากหลายฟังก์ชั่นการใช้งาน การสร้างคอนเทนท์หรือการนำเสนอเนื้อหาผ่านสื่อต่างๆ ที่มีความดึงดูดใจ การผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพ เป็นต้น
2.การเน้นนวัตกรรมที่เกี่ยวกับกระบวนการผลิต โดยจะต้องอาศัยเครื่องมือต่างๆ ที่มีความทันสมัย สามารถประยุกต์เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความสามารถในการผลิต รวมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต การใช้พลังงานทดแทน นวัตกรรมเพื่อการลดต้นทุน เป็นต้น
3.การพัฒนาวิจัยและนวัตกรรมทางการตลาด ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการใช้เทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจแบบก้าวกระโดด โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลเพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้หันมาใช้ผลิตภัณฑ์และบริการ เช่น การมีระบบจัดเก็บข้อมูล
(บิ๊กดาต้า) การใช้โซเชียลมีเดีย การมีระบบสื่อสารใหม่ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับผู้บริโภค เป็นต้น
สำหรับ กิจกรรม “Research Connect หรือตลาดต่อยอดงานวิจัยสู่อุตสาหกรรม” เป็นการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี งานวิจัย และนวัตกรรมระหว่างผู้มีเทคโนโลยี อาทิ สถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย นักวิจัยผู้ถือครองสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา และผู้ต้องการใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการเอกชน บุคคลทั่วไป เพื่อนำไปสู่การยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการและเศรษฐกิจ โดยกิจกรรมนี้ยังเป็นเสมือนความร่วมมือในการเสาะหาผลงานวิจัยที่มีความพร้อมต่อการต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มานำเสนอแก่ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ให้เกิดขึ้น ภายใต้ 50 กว่าผลงานวิจัยและนวัตกรรม 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอาหารแปรรูป กลุ่มพลังงานและสิ่งแวดล้อม กลุ่มการแพทย์และสุขภาพ และกลุ่มซอฟต์แวร์และดิจิทัล อาทิ หลอดกินได้จากข้าวและพืช Soil Moisted ดินปลูกต้นไม้ไม่ต้องรดน้ำ Rice Protein โปรตีนจากข้าวเพื่อทดแทนเนื้อสัตว์ เครื่องเติมอากาศประหยัดพลังงานแบบไฮบริดจ์ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากสารสกัดกัญชา และ Food Factory Internet of Things Platform (FIoT) ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มนี้ ถือเป็นสาขาอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตและสร้างมูลค่าได้อย่างมหาศาลในอนาคต และยังมีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท.....สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมโทรศัพท์ 0-2202-4564 หรือ เข้าไปที่ www.dip.go.th
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี