จากกรณีที่กรมป่าไม้ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร(ส.ป.ก.) โดยมีกรมป่าไม้เป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบพื้นที่ที่ดิน “เขาสนฟาร์ม” หมู่ 6 ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึงจังหวัดราชบุรี จำนวน 1,700 ไร่ ของน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่สามของเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ที่ครอบครองอยู่เพื่อเลี้ยงไก่โดยพบว่า ที่ดินส่วนหนึ่งรุกล้ำเข้าไปในเขตป่าไม้ ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ประมาณ 16 ไร่ และเขตป่าสงวนแห่งชาติ 30 ไร่ รวมประมาณ 46 ไร่
เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 ปัญหาการครอบครองที่ดินของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ได้รับการยืนยันจากอธิบดีกรมป่าไม้ว่าการถือครองที่ดินฟาร์มไก่ “เขาสนฟาร์ม” มีการบุกรุกพื้นที่ป่าและได้แจ้งความดำเนินคดีในข้อหา (1) กระทำความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 ฐาน “ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าเข้ายึดถือและครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษตามมาตรา 72 ตรี (2) กระทำความผิดตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 “ยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถางทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษตามมาตรา 31 (3) กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ฐาน “เข้าไปยึดถือครอบครองก่อสร้าง เผาป่า ทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดินในที่ดินของรัฐโดยไม่มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และ (4) พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 มาตรา 97 การกระทำหรือละเว้นกระทำด้วยประการใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติมีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลายสูญหายหรือเสียหายไป
เรื่องการรุกล้ำที่ดินผืนนี้ ก่อนหน้านี้ ได้มีผู้แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงการแจ้งความให้ดำเนินคดีโดยเมื่อวันที่ 21 และ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลืออาชญากรรมได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ในความผิดฐานบุกรุก ตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และที่ป่า ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484
น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ได้โต้ตอบ นายวีระ สมความคิดและนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ โดยการแจ้งความกลับในฐานความผิดแจ้งความอันเป็นเท็จ ทั้งที่รู้ว่ามิได้มีการกระทำผิดเกิดขึ้น เป็นการแจ้งความเพื่อจะแกล้งให้ตนต้องรับโทษทางอาญา และความผิดฐานหมิ่นประมาท ใส่ความโดยการโฆษณาทางสื่อสารมวลชน โดยมุ่งหมายให้ตนได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174, 326 และ 328
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานอัยการผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
“ข้อความอันเป็นเท็จ” หมายถึง ข้อความที่แจ้งต้องเป็นข้อความที่ไม่ตรงต่อความจริงและต้องเกี่ยวกับความผิดอาญา จึงเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จการแจ้งความเท็จขึ้นอยู่กับความรู้ของผู้กระทำผิดว่าผู้กระทำผิดรู้หรือไม่ว่าเป็นเท็จถ้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จ แม้จะตรงต่อความจริง ถือได้ว่ากระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3702/2526 แจ้งต่อตำรวจว่าเห็นนายแดงไล่โคของนายดำไป เมื่อตำรวจจับนายแดงกลับถอนแจ้งความ อ้างว่าไม่เห็นดังที่แจ้ง แม้ความจริงแดงจะลักโคของดำจริง ผู้แจ้งมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ เพราะความสำคัญอยู่ที่ว่าไม่เห็น แต่แจ้งว่าเห็น
กรณีที่กล่าวข้อความเกี่ยวกับคดีอาญาตรงต่อความจริงจะไม่ผิดฐานแจ้งความเท็จ เช่น แจ้งต่อตำรวจว่านายแดงหมิ่นประมาท นายแดงได้กล่าวคำที่แจ้งนั้นจริง แต่ข้อความที่กล่าวนั้นไม่เป็นหมิ่นประมาท การแจ้งข้อความหมายถึงการแจ้งข้อเท็จจริงไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมายว่าเป็นหมิ่นประมาทหรือไม่ ฉะนั้นข้อความที่แจ้งเป็นความจริง จะไม่ผิดตามาตรา 172
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2524 จำเลยแจ้งข้อความตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏการกระทำของโจทก์จะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยแจ้งหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะการแจ้งข้อความย่อมหมายถึงการแจ้งข้อเท็จจริงไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย เมื่อฟังว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นเป็นความจริง จำเลยไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ดังนั้น การพิจารณาข้อความที่แจ้งต่อเจ้าพนักงานอันจะเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต้องพิจารณาจาก “ข้อเท็จจริง”เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน
คำพิพากษาฎีกาที่ 1173/2539 แจ้งข้อความตามสภาพที่พบเห็นมาตรงกับความจริงที่ปรากฏ ส่วนการกระทำจะเป็นความผิดตามที่แจ้งหรือไม่เป็นข้อกฎหมาย ผู้แจ้งไม่ผิดฐานแจ้งความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5600/2541 จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ขับรถยนต์เฉี่ยวชนจำเลยได้รับบาดเจ็บเป็นการแจ้งความตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ส่วนการกระทำของโจทก์จะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยแจ้งหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะการแจ้งข้อความ ย่อมหมายถึงแจ้งข้อเท็จจริง ไม่เกี่ยวกับกฎหมาย แม้ต่อมา พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์ถือไม่ได้ว่าข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จจำเลยไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5236/2549 ข้อความที่จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตรงตามสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กรณีนี้จึงเป็นเรื่องที่จำเลยแจ้งความตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ส่วนการกระทำของโจทก์ทั้งสองจะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยแจ้งหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะการแจ้งข้อความย่อมหมายถึงแจ้งเฉพาะข้อเท็จจริงไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย แม้ต่อมาพนักงานสอบสวนจะได้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองตามที่จำเลยแจ้งและพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีโจทก์ทั้งสองถือไม่ได้ว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นเป็นความเท็จ
นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวกับความผิดฐานฟ้องเท็จ ที่มีแนววินิจฉัยว่า ผู้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ได้แจ้งตรงตามสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เช่นเดียวกับกรณีของน.ส.ปารีณาไกรคุปต์ สส.ราชบุรี ผู้แจ้งความคนแรกไม่ได้มีเจตนาร้าย ประกอบกับความเห็นของเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานที่ฟังเบื้องต้นได้ว่ามีการบุกรุกป่าสงวนและส.ป.ก การแจ้งความจึงไม่ถือเป็นการแจ้งความเท็จ
การที่น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวหาผู้แจ้งความคนแรก เป็นการกระทำที่ไม่สมควร ทางที่ดีควรนิ่งเฉย เพราะ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อาจจะเป็นผู้แจ้งความเท็จเสียเอง การสงบปากสงบคำย่อมดีกว่า
เรื่องนี้เปรียบเหมือนการดำเนินธุรกิจทั่วไปที่มีการแจ้งความกลับไป-กลับมา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี