การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เริ่มเกิดขึ้นครั้งแรกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน
ช่วงแรกที่มีการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนา ประชาชนชาวจีนยังไม่ทราบ จนวันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2563 นพ.หลี่เหวินเหลียง จักษุแพทย์รพ.กลางอู่ฮั่น ได้เปิดเผยถึงไวรัสโคโรนา โดยส่งข้อความไปในกลุ่มสนทนาที่มีสมาชิกเป็นแพทย์ร่วมรุ่นกล่าวถึงคนไข้หลายคนที่รพ.กลางอู่ฮั่น มีอาการคล้ายโรคซาร์สและถูกแยกตัวเพื่อรักษา ต่อมานพ.หลี่กับสมาชิกในกลุ่มสนทนาอีก 7 คน กลับถูกตำรวจอู่ฮั่นกล่าวหาว่า เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จและก่อกวนความสงบเรียบร้อย
นพ.หลี่ ได้เสียชีวิตโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 สัปดาห์ต่อมานพ.หลิว จื้อหมิง ผู้อำนวยการ รพ.อู่ฮั่น อู่ฉาง เมืองอู่ฮั่นได้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา นพ.หลิว ได้นำบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเข้าปฏิบัติงานแนวหน้า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
ไวรัสโคโรนาได้แพร่ระบาดอย่างหนักในจีน ช่วงแรกได้มีการปิดเมืองอู่ฮั่น กังเอโจว หวงกัง และอีกหลายเมืองในเวลาต่อมา
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ของจีน กล่าวว่าวิกฤติการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่คร่าชีวิตผู้คนในประเทศ ถือเป็น “ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขครั้งใหญ่ที่สุด” ของจีนนับแต่มีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อปี ค.ศ. 1949 (พ.ศ.2492) หรือในรอบ 70 ปีและวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 รัฐบาลจีนสั่งระงับธุรกิจกลุ่มทัวร์ทั้งหมดรวมถึงทัวร์ต่างประเทศทั้งหมดเดินทางออกนอกประเทศ
ในช่วงแรกๆ หลายประเทศได้วางมาตรการป้องกันไวรัสโคโรนา เข้มงวดต่างกันไป เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ห้ามชาวต่างชาติที่เพิ่งเดินทางไปประเทศจีน เข้าในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนชาวสหรัฐที่กลับจากไปหูเป่ย์ จะถูกกักตัวนานถึง 14 วัน และชาวสหรัฐที่เดินทางมาจากส่วนอื่นของประเทศจีนกลับบ้านได้
แต่ต้องสังเกตอาการตัวเอง 14 วัน ประเทศไทยที่ไม่ได้ห้ามนักท่องเที่ยวจีน หรือผู้ที่เคยไปประเทศจีน เข้าประเทศไทย แต่จะมีจุดคัดกรองที่ผู้เดินทางจะต้องเดินผ่านเครื่องเทอร์โมสแกน ที่ตรวจจับความร้อน หากพบว่ามีอาการตัวร้อน เป็นไข้ จะถูกกักตัว เพื่อเฝ้าระวังทันที ทั้งรัฐบาลไทยได้มีการรับคนไทยที่อยู่ในเมืองอู่ฮั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ประเทศสิงคโปร์ประกาศห้ามชาวจีน หรือคนที่เคยไปประเทศจีน เข้าประเทศ
การติดเชื้อไวรัสโคโรนาเกิดจาก 2 เหตุผลหลัก คือ (1) ไปสัมผัสกับพื้นผิวที่เชื้อไวรัสปะปนแล้วเอาเข้าร่างกายด้วยความพลั้งเผลอ เช่น เอามือจับจมูก ขยี้ตา (2) สัมผัสโดยตรงกับฝอยละออง (Droplet) จากลมหายใจของผู้ติดเชื้อที่เกิดจากการไอและจาม การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา จึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 กระทรวงสาธารณสุขไทยได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2563 และเมื่อวันที่ 11 มีนาคมพ.ศ.2563 องค์การอนามัยโลกออกแถลงการณ์ระบุว่าไวรัสโคโรนา2019 หรือโรคโควิด-19 เข้าสู่ภาวะแพร่ระบาดไปทั่วโลก (Pandemic)
ในอดีตมีโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาล เพราะมีการลุกลามข้ามพรมแดนไปในหลายประเทศ เช่น อหิวาตกโรค กาฬโรค โรคฝีดาษ ไข้หวัดสเปน
แม้หลายประเทศทั่วโลก ต่างออกมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้การแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขของผู้ติดเชื้อทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุดทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อ ประมาณ 200,000 กว่าราย รักษาหายแล้ว ประมาณ 80,000 กว่าราย เสียชีวิตประมาณ 8,000 กว่าราย จนเกือบจะถึง 9,000 ราย
หลายประเทศใช้วิธีปิดประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน เยอรมนี โปแลนด์ อินเดีย กาตาร์ บรูไน มาเลเซีย โดยมีมาตรการเข้มงวดที่แตกต่างกันไป สำหรับประเทศไทย มีการเลื่อนวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ ปิดสถานศึกษา สนามกีฬา
การป้องกันไวรัสโคโรนา สามารถทำโดยการสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือให้สะอาด ด้วยน้ำ และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ แต่ปัญหาที่แทบจะทุกประเทศรวมถึงคนไทยต้องเผชิญ คือหน้ากากอนามัยขาดตลาด หรือบางทีราคาแพงลิบลิ่วแม้รัฐบาลไทยจะประกาศให้หน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์เจลเป็นสินค้าควบคุม
อย่างไรก็ตาม เราได้เห็นภาพทหารช่วยกันบรรจุหน้ากากอนามัย เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์จำหน่ายในราคาถูก แต่ถ้าจะให้ดีรัฐบาลควรจะแจกให้ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า เพราะเป็นเรื่องความจำเป็นในการดำรงชีวิตในยามนี้ ภาพของนิสิตจิตอาสามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเจลแอลกอฮอล์ที่ร่วมผลิตไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชน
หากย้อนไปในอดีต นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช อายุรกรรมแพทย์โรคปอด และรศ.นพ.สืบสาย วงแสงดาวนายแพทย์เชี่ยวชาญ รพ.ราชวิถี ได้ค้นพบสูตรยาที่นำมาใช้รักษาโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยนำยาต้านไวรัสเอชไอวีมาร่วมใช้ในการรักษาด้วย ปรากฏว่าได้รับผลดีกับผู้ที่มีอาการป่วยหนัก ในช่วงระยะเวลาเพียง 48 ชั่วโมง ตรวจเลือดอีกครั้งหนึ่งกลับไม่พบเชื้อไวรัส แม้จะมีนักวิชาการได้แสดงความคิดเห็นว่าไม่ถือเป็นยารักษาโรคเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่เป็นเพียงแค่ยาต้านโรคเท่านั้น ที่มีลักษณะเป็นเพียงแค่ยาผสม ที่เป็นmixture หากเทียบไปคล้ายกับสูตรทำกับข้าว ที่นำส่วนผสมหลายอย่าง มาผสมกัน เป็นแบบสูตรใครสูตรมัน แต่ก็นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ขณะนี้ได้มีการคิดค้น 3 นวัตกรรมใหม่ ชิ้นแรก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ร่วมวิจัย และพัฒนานวัตกรรมหน้ากากผ้านาโนกันไรฝุ่น(WIN-Masks : Washable Innovative Nano-Masks) ป้องกันละอองฝอยจากเสมหะขนาดเล็กระดับ 2.5 ไมครอน และสามารถใช้ป้องกันฝุ่น PM2.5 ชิ้นที่สอง คณะแพทยศาสตร์ศิริราช ร่วมกับสถาบันวิทยสิริเมธี เร่งพัฒนาชุดตรวจไวรัสโคโรนา ให้ทราบผลภายใน 30-45 นาที ชิ้นที่สาม คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ได้คิดค้นเตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อแบบแรงดันลม ซึ่งช่วยให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยได้โดยไม่มีการแพร่เชื้อ
นับว่ายังได้ช่วยคลี่คลายปัญหา หน้ากากอนามัยขาดแคลนทั้งที่เป็นสินค้าควบคุม และห้ามจำหน่ายเกินราคา
แม้ว่าไวรัสโควิด-19 ถือเป็นโรคระบาด ที่ทุกคนต้องให้ความร่วมมือและให้ความระมัดระวัง แต่การเข้าถึงการตรวจ ยังนับว่า ไม่สะดวกและมีราคาแพง ค่าตรวจ ในโรงพยาบาลของรัฐประมาณ 2,500 บาท ในโรงพยาบาลเอกชน ประมาณ 5,000-13,000 บาท ทำให้ผู้ที่ไม่มีความพร้อม ไม่ไปตรวจ จำนวนผู้ที่ติดเชื้อจริง อาจมีมากกว่าที่ทางการแถลง ที่รัฐให้ข่าวว่า ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จะได้รับการตรวจโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในความเป็นจริงอาจไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วน
ผู้ที่ได้รับเชื้อแล้ว บางคนรอหลายวันกว่าจะได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรง ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาของการประสานงาน ที่ยังไม่ดีพอ ทั้งที่รัฐบาลได้แถลงว่า จะให้การรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ล่าสุดรัฐบาลได้ออกมาตรการ ปิด โรงเรียน สถานบันเทิงโรงภาพยนตร์ สถานอาบอบนวด สปา สถานฟิตเนส ในเขตกรุงเทพมหานคร 14 วัน ซึ่งหลายจังหวัด ได้มีประกาศตามเช่นกันและทางราชการทหารได้เข้าทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค ในพื้นที่สำคัญทั่วกรุงเทพมหานคร
ไวรัสโคโรนา ถึงแม้จะมีอันตรายที่คร่าชีวิตคนไทยได้แต่ยังนับว่า ยังมีเรื่องดีๆ ที่ทำให้คนไทยเกิดความร่วมมือ และร่วมแรงร่วมใจกันในชาติ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี