nn สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกขณะนี้ทำลายเศรษฐกิจของโลกและไทยอย่างหนัก...สำหรับประเทศไทยคงได้เห็นการปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไปแล้วจากหลายสำนัก เริ่มจากของธนาคารแห่งประเทศไทย และสักนักวิจัยของธนาคารพาณิชหลายๆ แห่ง ตัวเลขเฉลี่ยก็ประมาณ 5.6-6.8%
ทั้งนี้ เหตุที่ภาวะเศรษฐกิจไทยติดลบได้ลงลึกมากขนาดนี้ ก็เพราะว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจให้หดตัวแบบลงลึกและยาวนาน เพราะในหลายประเทศ ใช้มาตรการปิดเมือง และ social distancing ที่เข้มข้นขึ้น ขณะที่รัฐบาลไทยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมกับเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศ มาตรการเคอร์ฟิวทั่วประเทศ การประกาศปิดร้านค้า ร้านอาหาร และสถานที่ต่างๆ จนส่งผลกระทบต่อการบริโภคสินค้าและบริการภายในประเทศอย่างมาก รวมทั้งการประกาศปิดการเข้า-ออกระหว่างประเทศ และปิดเมืองในหลายจังหวัด ได้ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและภายในประเทศได้รับผลกระทบหนักขึ้น
สิ่งที่น่ากังวลขณะนี้คือ เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก COVID-19 นี้จะทำให้เกิดภาวะการว่างงานหลายแสนตำแหน่งกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ภาคธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ โรงแรมและร้านอาหาร ภาคการค้า
และภาคการขนส่ง มีการจ้างงานรวมถึง 10.1 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ และในจำนวนนี้เป็นการจ้างงานนอกระบบถึง 5.6 ล้านคน หรือ 55% สำนักวิจัยของธนาคารเกียรตินาคิน ประเมินว่าอาจมีการว่างงานสูงถึง 5 ล้านคน หรือคิด เป็นอัตราการว่างงาน 13% ในช่วงกลางปีนี้ นอกจากนี้ภาคธุรกิจอื่นๆ เช่น ภาคการผลิต ภาคการก่อสร้าง และบริการอื่นๆ ก็จะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลงด้วยเช่นกัน
หลายคนอาจจะบอกว่าถ้าดูจากตัวเลขการติดลบของจีดีพี เหตุการณ์อาจจะไม่เลวร้ายนักเพราะเราเคยเจอภาวะจีดีพี ติดลบระดับ 10% มาแล้วในช่วงปี 2540 (ต้มยำกุ้ง ไครซีส)...แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเมื่อครั้งต้มยำกุ้ง ไครซีส คนที่ได้รับผลกระทบคือ สถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีการกู้เงินจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่อยู่ในภาคการเกษตรยังรอดยังมีข้าวกิน และแรงงานในภาคการท่องเที่ยวยังไม่ตกงาน ขณะที่ภาคการส่งออก ก็ได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินบาท แรงงานในภาคส่งออกก็ยังมีงานทำ
ขณะที่วิกฤติครั้งนี้ ผลกระทบที่รุนแรงกลับเป็นด้านการท่องเที่ยว แรงงานในธุรกิจนี้ว่างงานเกือบ 4 ล้านคน การบริโภคภายในประเทศได้รับผลกระทบจากมาตรการสกัดกั้นการระบาด ขณะที่ภาคเกษตรก็รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติและราคาผลผลิตตกต่ำ ส่วนเครื่องยนต์ ของ GDP อย่างภาคการส่งออกก็ได้รับผลกระทบจากคำสั่งซื้อที่ลดลงด้วย เนื่องจากภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจโลก
ณ เวลานี้ไม่มีใครสามารถระบุได้ชัดเจนว่าการระบาดของโควิด-19 จะจบเมื่อใด และหลายประเทศต่างใช้มาตรการที่มีขนาดใหญ่เพื่อบรรเทาผลกระทบ เม็ดเงินที่หลายประเทศใช้ ประมาณ 10-15% ของจีดีพีของประเทศนั้นๆ ส่วนประเทศไทย ประกาศใช้มาตรการเยียวยามาแล้ว 2 ชุด คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 3 แสนล้านบาท และล่าสุด การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 ได้ เห็นชอบมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ระยะที่ 3 วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น 1 ล้านล้านบาท มาจาก พ.ร.ก.กู้เงิน ส่วนอีก 9 แสนล้านบาท จะเป็นผลมาจากการดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่าน พ.ร.ก. 2 ฉบับ คือ พ.ร.ก.ให้อำนาจ ธปท. ออกเงินกู้พิเศษเพื่อดูแลภาคเศรษฐกิจดูแล SMEs 5 แสนล้านบาท และดูเสถียรภาพการเงินอีก 4 แสนล้านบาท และในวงเงิน 1 ล้านล้านบาท จากการกู้เงิน จะนำมาใช้ในแผนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 6 แสนล้านบาท โดยเยียวยาประชาชนโครงการเราไม่ทิ้งกัน เดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน (ขยายเพิ่มจาก 3 เดือน) และตั้งเพดานไว้ที่ 9 ล้านคน
มาตรการระยะสั้นด้วยการแจกเงิน 5 พันบาท/คนต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน ในกรอบ 9 ล้านคน อาจบรรเทาผลกระทบได้ระดับหนึ่งในช่วงแรก แต่หัวใจสำคัญในบรรเทาผลกระทบในวิกฤติครั้งนี้คือมาตรการต้องครอบคลุมประชาชนที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม เกษตรกร ลูกจ้าง อาชีพอิสระ เจ้าของกิจการ และเป้าใหญ่ คือต้องชะลอการเลิกจ้างให้มากที่สุด เพราะเมื่อแรงงานถูกเลิกจ้าง โอกาสจะกลับมาเข้าสู่ระบบนั้นยากและใช้เวลานาน ดังนั้นมาตรการต่างของรัฐต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด เช่น ภาคธุรกิจเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำช่วยไม่ได้เพราะมีหนี้เยอะอยู่แล้ว ภาคประชาชนทำอย่างไรให้เขาไม่ต้องจ่ายหนี้ในช่วงเวลานี้ ซึ่งต้องพักหนี้ทั้งต้นทั้งดอกเบี้ย โครงการขนาดใหญ่ของรัฐถ้าชะลอได้ ก็ควรทำเพื่อเอาเงินไปทำโครงการในระดับชนบท เพื่อให้เกิดการจ้างงานสำหรับแรงงานที่ว่างงานขณะนี้ ฯลฯ ซึ่งหากรัฐยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุดในภาวะที่ไม่รู้ว่าวิกฤติครั้งนี้จะจบลงเมื่อใด มาตรการที่ออกมา 3 ชุด ก็ไม่มีประโยชน์ ที่สำคัญโอกาสข้างหน้ารัฐบาลจะหาเงินมา ทำมาตรการชุด ที่ 4 คงไม่ง่ายแล้ว
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี