วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
nn สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกขณะนี้ทำลายเศรษฐกิจของโลกและไทยอย่างหนัก...สำหรับประเทศไทยคงได้เห็นการปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไปแล้วจากหลายสำนัก เริ่มจากของธนาคารแห่งประเทศไทย และสักนักวิจัยของธนาคารพาณิชหลายๆ แห่ง ตัวเลขเฉลี่ยก็ประมาณ 5.6-6.8%
ทั้งนี้ เหตุที่ภาวะเศรษฐกิจไทยติดลบได้ลงลึกมากขนาดนี้ ก็เพราะว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจให้หดตัวแบบลงลึกและยาวนาน เพราะในหลายประเทศ ใช้มาตรการปิดเมือง และ social distancing ที่เข้มข้นขึ้น ขณะที่รัฐบาลไทยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมกับเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศ มาตรการเคอร์ฟิวทั่วประเทศ การประกาศปิดร้านค้า ร้านอาหาร และสถานที่ต่างๆ จนส่งผลกระทบต่อการบริโภคสินค้าและบริการภายในประเทศอย่างมาก รวมทั้งการประกาศปิดการเข้า-ออกระหว่างประเทศ และปิดเมืองในหลายจังหวัด ได้ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและภายในประเทศได้รับผลกระทบหนักขึ้น
สิ่งที่น่ากังวลขณะนี้คือ เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก COVID-19 นี้จะทำให้เกิดภาวะการว่างงานหลายแสนตำแหน่งกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ภาคธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ โรงแรมและร้านอาหาร ภาคการค้า
และภาคการขนส่ง มีการจ้างงานรวมถึง 10.1 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ และในจำนวนนี้เป็นการจ้างงานนอกระบบถึง 5.6 ล้านคน หรือ 55% สำนักวิจัยของธนาคารเกียรตินาคิน ประเมินว่าอาจมีการว่างงานสูงถึง 5 ล้านคน หรือคิด เป็นอัตราการว่างงาน 13% ในช่วงกลางปีนี้ นอกจากนี้ภาคธุรกิจอื่นๆ เช่น ภาคการผลิต ภาคการก่อสร้าง และบริการอื่นๆ ก็จะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลงด้วยเช่นกัน
หลายคนอาจจะบอกว่าถ้าดูจากตัวเลขการติดลบของจีดีพี เหตุการณ์อาจจะไม่เลวร้ายนักเพราะเราเคยเจอภาวะจีดีพี ติดลบระดับ 10% มาแล้วในช่วงปี 2540 (ต้มยำกุ้ง ไครซีส)...แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเมื่อครั้งต้มยำกุ้ง ไครซีส คนที่ได้รับผลกระทบคือ สถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีการกู้เงินจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่อยู่ในภาคการเกษตรยังรอดยังมีข้าวกิน และแรงงานในภาคการท่องเที่ยวยังไม่ตกงาน ขณะที่ภาคการส่งออก ก็ได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินบาท แรงงานในภาคส่งออกก็ยังมีงานทำ
ขณะที่วิกฤติครั้งนี้ ผลกระทบที่รุนแรงกลับเป็นด้านการท่องเที่ยว แรงงานในธุรกิจนี้ว่างงานเกือบ 4 ล้านคน การบริโภคภายในประเทศได้รับผลกระทบจากมาตรการสกัดกั้นการระบาด ขณะที่ภาคเกษตรก็รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติและราคาผลผลิตตกต่ำ ส่วนเครื่องยนต์ ของ GDP อย่างภาคการส่งออกก็ได้รับผลกระทบจากคำสั่งซื้อที่ลดลงด้วย เนื่องจากภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจโลก
ณ เวลานี้ไม่มีใครสามารถระบุได้ชัดเจนว่าการระบาดของโควิด-19 จะจบเมื่อใด และหลายประเทศต่างใช้มาตรการที่มีขนาดใหญ่เพื่อบรรเทาผลกระทบ เม็ดเงินที่หลายประเทศใช้ ประมาณ 10-15% ของจีดีพีของประเทศนั้นๆ ส่วนประเทศไทย ประกาศใช้มาตรการเยียวยามาแล้ว 2 ชุด คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 3 แสนล้านบาท และล่าสุด การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 ได้ เห็นชอบมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ระยะที่ 3 วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น 1 ล้านล้านบาท มาจาก พ.ร.ก.กู้เงิน ส่วนอีก 9 แสนล้านบาท จะเป็นผลมาจากการดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่าน พ.ร.ก. 2 ฉบับ คือ พ.ร.ก.ให้อำนาจ ธปท. ออกเงินกู้พิเศษเพื่อดูแลภาคเศรษฐกิจดูแล SMEs 5 แสนล้านบาท และดูเสถียรภาพการเงินอีก 4 แสนล้านบาท และในวงเงิน 1 ล้านล้านบาท จากการกู้เงิน จะนำมาใช้ในแผนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 6 แสนล้านบาท โดยเยียวยาประชาชนโครงการเราไม่ทิ้งกัน เดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน (ขยายเพิ่มจาก 3 เดือน) และตั้งเพดานไว้ที่ 9 ล้านคน
มาตรการระยะสั้นด้วยการแจกเงิน 5 พันบาท/คนต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน ในกรอบ 9 ล้านคน อาจบรรเทาผลกระทบได้ระดับหนึ่งในช่วงแรก แต่หัวใจสำคัญในบรรเทาผลกระทบในวิกฤติครั้งนี้คือมาตรการต้องครอบคลุมประชาชนที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม เกษตรกร ลูกจ้าง อาชีพอิสระ เจ้าของกิจการ และเป้าใหญ่ คือต้องชะลอการเลิกจ้างให้มากที่สุด เพราะเมื่อแรงงานถูกเลิกจ้าง โอกาสจะกลับมาเข้าสู่ระบบนั้นยากและใช้เวลานาน ดังนั้นมาตรการต่างของรัฐต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด เช่น ภาคธุรกิจเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำช่วยไม่ได้เพราะมีหนี้เยอะอยู่แล้ว ภาคประชาชนทำอย่างไรให้เขาไม่ต้องจ่ายหนี้ในช่วงเวลานี้ ซึ่งต้องพักหนี้ทั้งต้นทั้งดอกเบี้ย โครงการขนาดใหญ่ของรัฐถ้าชะลอได้ ก็ควรทำเพื่อเอาเงินไปทำโครงการในระดับชนบท เพื่อให้เกิดการจ้างงานสำหรับแรงงานที่ว่างงานขณะนี้ ฯลฯ ซึ่งหากรัฐยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุดในภาวะที่ไม่รู้ว่าวิกฤติครั้งนี้จะจบลงเมื่อใด มาตรการที่ออกมา 3 ชุด ก็ไม่มีประโยชน์ ที่สำคัญโอกาสข้างหน้ารัฐบาลจะหาเงินมา ทำมาตรการชุด ที่ 4 คงไม่ง่ายแล้ว
กระบองเพชร

‘BNK48’ ถ่ายทอดมุมแอบรัก ผ่าน ‘คำสารภาพที่ไม่คาดฝัน’ ‘แจนรี่’ เซ็นเตอร์เพลงหลักครั้งแรก!
PEAKSayaa! เสิร์ฟพลังบวกและรอยยิ้ม ผ่านซิงเกิลใหม่ ‘อิจิโกะ อิจิเอะ’
Hell’s Kitchen สุดเดือด!!เปิดเกมจำกัดจุดอ่อน เชฟ 12 คน..หนาวๆร้อนๆชีวิตเหมือนยืนปากเหว
‘โอ๊ต สิทธิพงษ์’ ปล่อยเพลงใหม่ 'ป่องเอี้ยมหัวใจ' ผลงานแต่งโดย ต้าร์ ตจว.
‘ลำเพลิน วงศกร’ เปิดใจถึงชีวิตที่เคยติดลบ เคยสูญเสียคนที่รักในวันที่ฝันกำลังจะเป็นจริง!

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี