nn อุตสาหกรรมเหล็กของไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้านมานานกว่าเกือบ 10 ปี ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการของไทย โดย 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยได้พยายามจะประสานงานกับหน่วยงานภาครับเพื่อแก่ปัญหามาโดยตลอด และในช่วงปลายปี 2558 ทาง 7 สมาคมได้รายงานปัญหา และนำเสนอแนวทางแก้ไขต่อ ดร.สมคิดจาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โดยรองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง ร่วมกับกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีเสมอมา
และล่าสุดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 กลุ่ม 7 สมาคมซึ่งเป็นตัวแทนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กกว่า 470 บริษัท เดินทางเข้าพบ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อสนับสนุนนโยบาย “Thai First ไทยทำ ไทยใช้ คนไทยต้องได้ก่อน” และสนับสนุนการผลักดันให้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้ นายพิศักดิ์จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม ร่วมกับกลุ่ม7 สมาคมเหล็กฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้สินค้าเหล็กในประเทศของกระทรวงคมนาคม ซึ่งก็เป็นที่ของกิจกรรม workshop ในวันที่12 มีนาคม 2563 ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กับกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ โดยมี นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานในการจัดงาน ซึ่งมีหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทยกรมการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางราง กรมเจ้าท่ากรมทางหลวง กรมท่าอากาศยาน การท่าเรือแห่งประเทศไทและสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกรมศุลกากร กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศกรมทางหลวงชนบท และ บมจ. ท่าอากาศยานไทย
ทั้งนี้ นายวิน วิริยประไพกิจ ผู้แทนกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ กล่าวขอบคุณประธาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เข้าร่วมงาน พร้อมทั้งชี้แจงว่าอุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่ทางภาครัฐได้มีการส่งเสริมการลงทุนแต่ยังขาดนโยบายอื่นๆ เช่น ทางด้านต้นทุน ด้านการตลาด ด้านพลังงานและด้านเทคโนโลยี เนื่องจากยังไม่มีหน่วยงานของภาครัฐที่ดูแลกำกับโดยตรง อีกทั้งได้กล่าวถึงปัญหาวิกฤติอุตสาหกรรมเหล็กโดยปัญหาเกิดขึ้นจากการที่ประเทศจีนมีการผลิตสินค้าที่มากเกินความจำเป็นของโลก และมีการดำเนินธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมทั้งเรื่องการอุดหนุน และทุ่มตลาด ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้มีการกำหนดมาตรการคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศโดยเฉพาะ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้สินค้าที่ไม่สามารถไปยังประเทศที่กำหนดมาตรการที่แข็งแรงได้ก็มีโอกาสเข้ามายังประเทศไทยได้ซึ่งแสดงให้เห็นจากตัวเลขของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 1% ในขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศลดลง 4% ซึ่งส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2562 เหลือเพียง 32% เท่านั้น
โดยภายในงาน นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย รายงานภาพรวมของสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กโลก และของไทย โดยปี 2562 ประเทศไทยมีการใช้สินค้าเหล็ก 18.47 ล้านตัน และส่วนใหญ่ประมาณ 58% ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง แต่จะพบว่าสินค้าส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศกว่า 12 ล้านตัน คิดเป็นกว่า 66% ของการใช้ในประเทศ และคิดเป็นมูลค่ากว่า 3.2 แสนล้านบาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการในประเทศมีการใช้กำลังการผลิตเพียง 32% เท่านั้น ในขณะที่หลายประเทศใช้กำลังการผลิตสูงกว่า 50% ทั้งสิ้น เช่น เวียดนาม ใช้กำลังการผลิตที่ 69% ออสเตรเลีย 58% เกาหลีใต้ 53% และไต้หวัน 75% ดังนั้นการสนับสนุนการใช้สินค้าในประเทศจึงเป็นกลไกที่สำคัญที่จะส่งเสริมให้เกิดการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น และพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นต่อไป ที่สำคัญสินค้าเหล็กส่วนใหญ่ที่ใช้ในโครงการก่อสร้างภาครัฐผู้ประกอบการสามารถผลิตได้ทั้งสิ้น ยกเว้นสินค้าบางรายการ เช่น รางรถไฟ
ด้าน รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำการศึกษาผลกระทบจากการใช้สินค้าในประเทศ โดยการใช้เครื่องมือตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต หรือ Input-Output Table (I-O Table) ซึ่งเป็นตารางที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตและการใช้ผลผลิต ทั้งที่ใช้ไปในขั้นสุดท้าย และที่ใช้ไปเพื่อการอุปโภคขั้นกลาง สำหรับข้อมูลโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม 44 โครงการ โดยได้มีการประเมินจากผู้ผลิตสินค้าเหล็กในประเทศว่าสามารถใช้สินค้าเหล็กในประเทศได้เป็นมูลค่าถึงประมาณ 110,000 ล้านบาท และจากมูลค่าดังกล่าวเมื่อนำไปวิเคราะห์โดยI-O table พบว่าจะช่วยให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรง และทางอ้อมกว่า 139,000 คน และช่วยให้ GDP ของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.6% แต่ทั้งนี้การวิเคราะห์ดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ในเบื้องต้น อาจจะต้องมีการปรับข้อมูลในการวิเคราะห์ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การใช้สินค้าในประเทศช่วยส่งเสริมการจ้างงาน และ GDP ของประเทศอย่างแน่นอน
ด้านนายนาวา จันทนสุรคน นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย และผู้ประสานงานกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ รายงานถึงตัวอย่างการกำหนดนโยบายสนับสนุนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศของสหรัฐอเมริกา และอินเดีย โดยทั้ง 2 ประเทศ กำหนดนโยบาย Buy American และ Make in India ตามลำดับ โดยสาระสำคัญ คือ Buy America มีการกำหนด Local content โครงการภาครัฐสำหรับสินค้าเหล็กที่ 95% ส่วนMake in India มีการกำหนด Local content โครงการภาครัฐในภาพรวมที่ 50% โดยต้องมี Certificate รับรองด้วย และสำหรับการใช้สินค้าเหล็กต้องมีมูลค่าเพิ่มในประเทศ 20%
นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอนโยบายสนับสนุนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศโดยขอให้ (1) ขอความอนุเคราะห์ให้ยึดถือปฏิบัติตาม มติ ครม. เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2550 เรื่องหลักเกณฑ์การใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศ อย่างเคร่งครัด และขอให้พิจารณากำหนด Local content การใช้สินค้าเหล็กในประเทศสำหรับโครงการภาครัฐที่ 90% (2) ขอความอนุเคราะห์นำแนวปฏิบัติการให้แต้มต่อด้านราคากับพัสดุที่ผลิตในประเทศและเป็นกิจการของคนไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 กลับมาพิจารณาบังคับใช้อีกครั้ง โดยขอให้ครอบคลุมเรื่องงานก่อสร้างด้วย
“การกำหนด Local content ของประเทศไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อความตกลง WTO เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีการลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีในความตกลง Government Procurement Agreement (GPA) ประเทศไทยเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น” นายนาวากล่าว
ขณะที่นายชาตรี บุญญารัตนากุล ผู้แทนจากสมาคมเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย ชี้แจงเพิ่มเติมต่อความกังวลกรณีการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกเขตการค้าเสรี CPTPP ว่าในการเจรจาสามารถกำหนดข้อยกเว้นสำหรับเรื่อง GPA ได้ จากตัวอย่างประเทศเวียดนามที่มีการลงนามเข้าร่วมแล้วและมีการระบุยกเว้นไม่ครอบคลุมเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของกระทรวงคมนาคม ดังนั้นสำหรับประเทศไทยหากเข้าร่วม CPTPP ก็ควรกำหนดการยกเว้นเช่นเดียวกัน อีกทั้งระยะเวลาการเปิดเสรีก็ใช้เวลานานถึง 25 ปี ดังนั้นในระหว่างนี้จึงควรมีการกำหนดนโยบายเพื่อสนับสนุนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศ
ทางด้านผู้แทนจากกรมบัญชีกลางได้ชี้แจงว่า กำลังศึกษา และทบทวนการจัดทำกฎระเบียบ และแนวทางปฏิบัติให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และไม่ให้ขัดต่อ WTO เพื่อนำเสนอครม. ทั้งนี้ทาง สนข. จะจัดทำสรุปข้อมูลจากการหารือใน Workshop และนำเสนอผู้บริหารกระทรวงคมนาคมพิจารณา รวมถึงประสานอย่างเป็นทางการไปยังกรมบัญชีกลางเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับจัดทำมติ ครม. ใหม่ให้มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพในการนำไปปฏิบัติมากยิ่งขึ้น
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี