วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
nn อุตสาหกรรมเหล็กของไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้านมานานกว่าเกือบ 10 ปี ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการของไทย โดย 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยได้พยายามจะประสานงานกับหน่วยงานภาครับเพื่อแก่ปัญหามาโดยตลอด และในช่วงปลายปี 2558 ทาง 7 สมาคมได้รายงานปัญหา และนำเสนอแนวทางแก้ไขต่อ ดร.สมคิดจาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โดยรองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง ร่วมกับกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีเสมอมา
และล่าสุดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 กลุ่ม 7 สมาคมซึ่งเป็นตัวแทนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กกว่า 470 บริษัท เดินทางเข้าพบ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อสนับสนุนนโยบาย “Thai First ไทยทำ ไทยใช้ คนไทยต้องได้ก่อน” และสนับสนุนการผลักดันให้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้ นายพิศักดิ์จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม ร่วมกับกลุ่ม7 สมาคมเหล็กฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้สินค้าเหล็กในประเทศของกระทรวงคมนาคม ซึ่งก็เป็นที่ของกิจกรรม workshop ในวันที่12 มีนาคม 2563 ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กับกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ โดยมี นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานในการจัดงาน ซึ่งมีหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทยกรมการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางราง กรมเจ้าท่ากรมทางหลวง กรมท่าอากาศยาน การท่าเรือแห่งประเทศไทและสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกรมศุลกากร กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศกรมทางหลวงชนบท และ บมจ. ท่าอากาศยานไทย
ทั้งนี้ นายวิน วิริยประไพกิจ ผู้แทนกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ กล่าวขอบคุณประธาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เข้าร่วมงาน พร้อมทั้งชี้แจงว่าอุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่ทางภาครัฐได้มีการส่งเสริมการลงทุนแต่ยังขาดนโยบายอื่นๆ เช่น ทางด้านต้นทุน ด้านการตลาด ด้านพลังงานและด้านเทคโนโลยี เนื่องจากยังไม่มีหน่วยงานของภาครัฐที่ดูแลกำกับโดยตรง อีกทั้งได้กล่าวถึงปัญหาวิกฤติอุตสาหกรรมเหล็กโดยปัญหาเกิดขึ้นจากการที่ประเทศจีนมีการผลิตสินค้าที่มากเกินความจำเป็นของโลก และมีการดำเนินธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมทั้งเรื่องการอุดหนุน และทุ่มตลาด ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้มีการกำหนดมาตรการคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศโดยเฉพาะ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้สินค้าที่ไม่สามารถไปยังประเทศที่กำหนดมาตรการที่แข็งแรงได้ก็มีโอกาสเข้ามายังประเทศไทยได้ซึ่งแสดงให้เห็นจากตัวเลขของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 1% ในขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศลดลง 4% ซึ่งส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2562 เหลือเพียง 32% เท่านั้น
โดยภายในงาน นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย รายงานภาพรวมของสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กโลก และของไทย โดยปี 2562 ประเทศไทยมีการใช้สินค้าเหล็ก 18.47 ล้านตัน และส่วนใหญ่ประมาณ 58% ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง แต่จะพบว่าสินค้าส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศกว่า 12 ล้านตัน คิดเป็นกว่า 66% ของการใช้ในประเทศ และคิดเป็นมูลค่ากว่า 3.2 แสนล้านบาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการในประเทศมีการใช้กำลังการผลิตเพียง 32% เท่านั้น ในขณะที่หลายประเทศใช้กำลังการผลิตสูงกว่า 50% ทั้งสิ้น เช่น เวียดนาม ใช้กำลังการผลิตที่ 69% ออสเตรเลีย 58% เกาหลีใต้ 53% และไต้หวัน 75% ดังนั้นการสนับสนุนการใช้สินค้าในประเทศจึงเป็นกลไกที่สำคัญที่จะส่งเสริมให้เกิดการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น และพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นต่อไป ที่สำคัญสินค้าเหล็กส่วนใหญ่ที่ใช้ในโครงการก่อสร้างภาครัฐผู้ประกอบการสามารถผลิตได้ทั้งสิ้น ยกเว้นสินค้าบางรายการ เช่น รางรถไฟ
ด้าน รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำการศึกษาผลกระทบจากการใช้สินค้าในประเทศ โดยการใช้เครื่องมือตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต หรือ Input-Output Table (I-O Table) ซึ่งเป็นตารางที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตและการใช้ผลผลิต ทั้งที่ใช้ไปในขั้นสุดท้าย และที่ใช้ไปเพื่อการอุปโภคขั้นกลาง สำหรับข้อมูลโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม 44 โครงการ โดยได้มีการประเมินจากผู้ผลิตสินค้าเหล็กในประเทศว่าสามารถใช้สินค้าเหล็กในประเทศได้เป็นมูลค่าถึงประมาณ 110,000 ล้านบาท และจากมูลค่าดังกล่าวเมื่อนำไปวิเคราะห์โดยI-O table พบว่าจะช่วยให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรง และทางอ้อมกว่า 139,000 คน และช่วยให้ GDP ของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.6% แต่ทั้งนี้การวิเคราะห์ดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ในเบื้องต้น อาจจะต้องมีการปรับข้อมูลในการวิเคราะห์ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การใช้สินค้าในประเทศช่วยส่งเสริมการจ้างงาน และ GDP ของประเทศอย่างแน่นอน
ด้านนายนาวา จันทนสุรคน นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย และผู้ประสานงานกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ รายงานถึงตัวอย่างการกำหนดนโยบายสนับสนุนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศของสหรัฐอเมริกา และอินเดีย โดยทั้ง 2 ประเทศ กำหนดนโยบาย Buy American และ Make in India ตามลำดับ โดยสาระสำคัญ คือ Buy America มีการกำหนด Local content โครงการภาครัฐสำหรับสินค้าเหล็กที่ 95% ส่วนMake in India มีการกำหนด Local content โครงการภาครัฐในภาพรวมที่ 50% โดยต้องมี Certificate รับรองด้วย และสำหรับการใช้สินค้าเหล็กต้องมีมูลค่าเพิ่มในประเทศ 20%
นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอนโยบายสนับสนุนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศโดยขอให้ (1) ขอความอนุเคราะห์ให้ยึดถือปฏิบัติตาม มติ ครม. เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2550 เรื่องหลักเกณฑ์การใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศ อย่างเคร่งครัด และขอให้พิจารณากำหนด Local content การใช้สินค้าเหล็กในประเทศสำหรับโครงการภาครัฐที่ 90% (2) ขอความอนุเคราะห์นำแนวปฏิบัติการให้แต้มต่อด้านราคากับพัสดุที่ผลิตในประเทศและเป็นกิจการของคนไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 กลับมาพิจารณาบังคับใช้อีกครั้ง โดยขอให้ครอบคลุมเรื่องงานก่อสร้างด้วย
“การกำหนด Local content ของประเทศไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อความตกลง WTO เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีการลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีในความตกลง Government Procurement Agreement (GPA) ประเทศไทยเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น” นายนาวากล่าว
ขณะที่นายชาตรี บุญญารัตนากุล ผู้แทนจากสมาคมเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย ชี้แจงเพิ่มเติมต่อความกังวลกรณีการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกเขตการค้าเสรี CPTPP ว่าในการเจรจาสามารถกำหนดข้อยกเว้นสำหรับเรื่อง GPA ได้ จากตัวอย่างประเทศเวียดนามที่มีการลงนามเข้าร่วมแล้วและมีการระบุยกเว้นไม่ครอบคลุมเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของกระทรวงคมนาคม ดังนั้นสำหรับประเทศไทยหากเข้าร่วม CPTPP ก็ควรกำหนดการยกเว้นเช่นเดียวกัน อีกทั้งระยะเวลาการเปิดเสรีก็ใช้เวลานานถึง 25 ปี ดังนั้นในระหว่างนี้จึงควรมีการกำหนดนโยบายเพื่อสนับสนุนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศ
ทางด้านผู้แทนจากกรมบัญชีกลางได้ชี้แจงว่า กำลังศึกษา และทบทวนการจัดทำกฎระเบียบ และแนวทางปฏิบัติให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และไม่ให้ขัดต่อ WTO เพื่อนำเสนอครม. ทั้งนี้ทาง สนข. จะจัดทำสรุปข้อมูลจากการหารือใน Workshop และนำเสนอผู้บริหารกระทรวงคมนาคมพิจารณา รวมถึงประสานอย่างเป็นทางการไปยังกรมบัญชีกลางเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับจัดทำมติ ครม. ใหม่ให้มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพในการนำไปปฏิบัติมากยิ่งขึ้น
กระบองเพชร

‘อธ.อัยการต่างประเทศ’ต้อนรับผู้แทนอัยการจีน-ขอไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมอสส.จีน-อาเซียน
ยุบสภา 12 ธันวา?! ‘อนุทิน’ลั่นพร้อมหากรอกันไม่ไหว รับ‘รบ.เสียงข้างน้อย’อภิปรายดีแค่ไหนก็แพ้
‘นายกฯ’ลั่นต้องมีคนรับผิดชอบ เหตุทหารกัมพูชาจุดประทัด ชัดแล้วใครกันแน่ละเมิดปฏิญญา
'หมอมุกกินเค้ก'โดนแล้ว! 'ติ๊กต๊อก'เพิกถอนรางวัล 'Rising Creator of the Year'
‘อนุทิน’รับยังไม่คุย‘ศุภจี’นั่งแคนดิเดต ตอก‘มาร์ค’อย่ายุ่งเรื่อง‘ภูมิใจไทย’

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี