nn ประเทศไทย...ในยามที่ต้องการภาษีเพิ่ม...ภาษีบาป...ที่เก็บสินค้าประเภทสุรา ยาสูบ...ก็จะถูกปักหมุดไว้เป็นอันดับแรกเสมอ และไม่ว่ารัฐจะโขกสับเอาอย่างไรสังคมก็ไม่ให้ความเห็นใจ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็น “ภาษีบาป”....เมื่อพูดถึงภาษีบาป...ก็ต้องพูดถึง กรมสรรพาสามิต เพราะเป็นเพียงกรมเดียว ใน 3 กรมจัดเก็บภาษีที่ทำหน้าที่นี้ และเมื่อกรมสรรพสามิตจะทำอะไรเกี่ยวกับภาษีบาปก็ไม่เคยที่จะถูกตั้งคำถามจากสังคม เพียงแค่บอกว่าต้องการภาษีเข้ารัฐเพิ่มจากสินค้ากลุ่มนี้เท่านั้น ทุกคนก็ยกมือเชียร์แล้ว.....
ล่าสุดกรมสรรพสามิต ก็เตรียมผุดโครงการพัฒนาระบบตรวจสอบติดตามและแกะรอยแสตมป์ยาสูบ (Track & Trace) มูลค่ากว่า 3.3 พันล้านบาท โดยหมายมั่นปั้นมือว่าจะช่วยแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อนที่ระบาดอยู่ในประเทศไทยได้ เพราะระบบ T&T นี้ จะตรวจสอบได้ว่าแสตมป์มีการเสียภาษีเมื่อไร เป็นบุหรี่ยี่ห้ออะไร และผลิตจากประเทศใด โดยระบบ T&T กำหนดให้การติดและบันทึกข้อมูล (activate) แสตมป์ยาสูบต้องทำในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อให้เป็นไปตามพิธีสารเพื่อกำจัดการค้าที่ผิดกฎหมายในผลิตภัณฑ์ยาสูบ (Protocol to eliminate illicit trade in tobacco products)ขององค์การอนามัยโลก (WHO)
ถ้ามองในมุมนี้มุมเดียวแน่นอนว่าทุกคนก็ต้องว่าเป็นเรื่องดี....แต่ในมุมอื่นล่ะ...โครงการนี้จะกลายเป็นการสร้างภาระให้ผู้นำเข้าหลายรายซึ่งมีสัดส่วนตลาดรวมๆ กันแล้วกว่า 50% และมีปริมาณนำเข้ามากกว่า 60 ล้านซองต่อเดือน หรือประมาณ 2 ล้านซองต่อวัน หรือไม่เพราะว่าการดำเนินการตามโครงการนี้ แน่นอนว่า ต้องทำให้ต้นทุนของผู้นำเข้าสูงขึ้น จากการที่ต้องตั้งโรงงานและจ้างแรงงานใหม่ภายในเขตปลอดอากร เพื่อแกะสินค้าที่ส่งเข้ามาจากต่างประเทศ ติดแสตมป์ และแพ็กสินค้ากลับเข้าไปใหม่ ก่อนจะส่งออกไปขายให้ร้านค้าซึ่งล้วนแต่เป็นขั้นตอนที่ไม่จำเป็น สร้างความยุ่งยากล่าช้าให้กับผู้นำเข้า ตรงนี้มองได้ไหมว่า ขัดต่อนโยบายของภาครัฐที่พยายามดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อทำให้ประเทศเป็นที่น่าลงทุน และง่ายในการประกอบธุรกิจของบริษัทต่างชาติ
นอกจากนี้ ระบบ T&T นี้ก็ยังเป็นที่กังขาว่าจะทำให้เป็นไปตามพิธีสารฯ ของ WHOได้จริงหรือไม่ เพราะไม่มีประเทศใดจนถึงปัจจุบันสามารถจัดทำระบบ T&T ที่เป็นไปตามพิธีสารฯ อย่างครบถ้วนด้วยการใช้แสตมป์ได้เลย และยังเกิดคำถามต่อว่าเป็นระบบที่มีประสิทธิผลจริงหรือไม่ เพราะบุหรี่เถื่อนที่ขายกันทั่วไปเกลื่อนประเทศ ไม่ได้มีการติดแสตมป์ แล้วระบบนี้จะแกะรอยบุหรี่เถื่อนจากแสตมป์ได้อย่างไร ???
คำถามเหล่านี้ ผู้บริหารและข้าราชการกรมสรรพสามิต ที่เข้าร่วมประชุมเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา กลับตอบไม่ได้ ทั้งๆ ที่การประชุมวันนั้นมีการเชิญการยาสูบแห่งประเทศไทย และผู้นำเข้าบุหรี่ ซึ่งมีตัวแทนจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เข้าร่วมรับฟังข้อมูลและหารือแนวทางแก้ปัญหาด้วย
งานนี้คงต้องฝากให้ คุณพชร อนันตศิลป์อธิบดีกรมสรรพสามิต เตรียมตอบคำถามให้ดีว่าโครงการนี้ คุ้มค่า-ได้ผลจริงหรือไม่ เพราะทราบว่าก่อนหน้านี้ กรมสรรพสามิตก็เคยมีปัญหาเรื่องความโปร่งใสและความคุ้มค่าในการลงทุนโดยใช้เงินภาษีของประชาชน กับโครงการเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีของทางราชการบนบรรจุภัณฑ์ (Direct Coding) กับสินค้าเบียร์มูลค่ากว่า 8 พันล้านบาท ซึ่งตอนนี้ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเบียร์เองก็กำลังขอให้กรม ทบทวนและเลื่อนการบังคับใช้ตามแนวทางนี้ออกไปก่อน
อีกทั้ง ภาวะเศรษฐกิจกำลังย่ำแย่จากสถานการณ์โควิด-19 การจะมาซ้ำเติมผู้ประกอบการโดยบังคับให้ต้องลงทุนเพิ่มแบบนี้ หรือจะเป็นนัยว่ากรมสรรพสามิตกำลังเอื้อประโยชน์ให้ผู้ผลิตในประเทศ ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดข้อตกลงว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้าขององค์การการค้าโลก (WTO Agreement on TechnicalBarriers to Trade) ได้เหมือนกัน…
ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาเม็ดเงินจากภาครัฐและภาคเอกชนเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงที่กำลังสาหัสจากพิษโควิด-19...สมควรแล้วหรือที่กรมสรรพสามิตจะอ้างเพียงแค่คำว่า “ภาษีบาป” แล้วใช้เงินหลายพันล้านบาทไปกับโครงการที่ยังถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของโครงการ...คิดให้รอบคอบรอบด้านก่อนก็ดีนะท่านอธิบดีครับ...
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี