วันพุธ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงว่า นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาท “กระทิงแดง” หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งหมดในคดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้บังคับหมู่งานปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555 โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับหนังสือคำสั่งเด็ดขาดว่า ไม่ฟ้องคดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จากอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563
กรณีนี้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในตอนแรกสื่อมวลชนในประเทศไทยไม่ทราบเรื่องนี้เลย กลับเป็นสำนักข่าว CNN ของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเสนอข่าวนี้ก่อนสื่อมวลชนไทยจึงเกาะติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิดในภายหลัง ราวกับเป็นเรื่องที่ลึกลับในประเทศไทยเพื่อให้เป็นผลว่า คดีได้สิ้นสุดแล้ว ผ่านไปนานมากแล้ว จะแก้ไขหรือทำอะไรอีกไม่ได้
สรุปข้อหาคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา มีดังนี้
(1) ขับรถในขณะเมาสุรา ตามพ.ร.บ.จราจรทางบกพ.ศ. 2522 สั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ พนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้องเพราะเห็นว่า เมาหลังขับ เนื่องจากเชื่อว่าผู้ต้องหาเกิดความเครียดหลังขับรถชน จึงไปดื่มแอลกอฮอล์ในภายหลัง
(2) ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 คดีขาดอายุความปีพ.ศ. 2556
(3) ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินเสียหายตามพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 คดีขาดอายุความปีพ.ศ. 2556
(4) ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ และไม่แจ้งเจ้าพนักงาน ตามพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 สั่งฟ้อง มีโทษจำคุกสูงสุด 6 เดือน คดีขาดอายุความ 3 กันยายน พ.ศ. 2560
(5) ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 สั่งไม่ฟ้อง
คดีทายาทกระทิงแดง ไม่เพียงแต่เป็นที่จับตามองในประเทศไทย สื่อต่างประเทศได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมากหลังจากเกิดเหตุ นายบอสไม่ได้ถูกจับกุมดำเนินคดี แต่กลับขอเลื่อนพบพนักงานอัยการเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาจำนวน 7 ครั้ง อ้างเหตุติดธุระและเดินทางไปต่างประเทศ
ความล่าช้าของคดีมีมาโดยตลอด ในหลายขั้นตอน เจ้าหน้าที่ตำรวจรวม 11 คน ถูกชี้มูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความตั้งใจ อุตสาหะ เพื่อให้เกิดผลดี หรือความก้าวหน้าแก่ราชการ เอาใจใส่ระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของทางราชการและประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ ถูกลงโทษด้วยการกักยาม ภาคทัณฑ์ นับว่าเป็นโทษที่เบามาก
ทั้งพยานหลักฐานยังอยู่ในที่เกิดเหตุ ประกอบกับนายบอสรับสารภาพ ซึ่งน่าจะดำเนินคดีได้อย่างรวดเร็ว แม้นายบอส จะใช้ช่องทางร้องขอความเป็นธรรมหรือประวิงคดีด้วยเหตุผลต่างๆ หากเร่งรัดดำเนินการให้คดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีโดยศาลสถิตยุติธรรม คดีคงถึง
ที่สุดไปนานแล้ว
สำหรับคดีอาญาความผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจหรือเสียชีวิต หากเป็นคดีทั่วไปพนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการได้รวดเร็วเพราะไม่สลับซับซ้อนแต่อย่างใด คนขับรถชนส่วนใหญ่จะสำนึกผิดพร้อมบรรเทาความเสียหายให้ผู้เสียหายหรือญาติจนไม่ติดใจเอาความ และเมื่อถึงชั้นศาล มักจะรอลงอาญา (ไม่ต้องรับโทษ) เพราะไม่ใช่คดีที่ทำผิดโดยเจตนา
ในที่สุดพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
แต่เดิมนั้น ตำรวจพิสูจน์หลักฐานผู้พิจารณาความเร็วรถยนต์ขณะเกิดเหตุ มีความเห็นว่า นายบอสขับรถด้วยความเร็ว174 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต่อมาอัยการมีคำสั่งให้พลังงานสอบสวนสอบพยานเพิ่มอีก 6 คน พยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นตำรวจพิสูจน์หลักฐานคนเดิมมีความเห็นใหม่ว่า ความเร็วรถในขณะนั้น คือ 76.175 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยอ้างว่า ใช้วิธีคำนวณใหม่ (กลับความเห็นเดิม) ทั้งที่ในขณะตรวจสอบครั้งแรกเมื่อแปดปีก่อนอาจารย์ฟิสิกส์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกท่านหนึ่งที่คำนวณความเร็วรถ เพื่อประกอบสำนวนสอบสวนในคดีนี้เช่นกัน ยืนยันตามหลักวิชาการว่า ความเร็วรถยนต์ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบ พบว่าที่พื้นมีคราบน้ำมันเครื่องของรถยนต์คันก่อเหตุ ไหลเป็นทางยาวตั้งแต่ปากซอยสุขุมวิท 53 จนเข้าไปในหน้าเลขที่ 9 หรือบ้านอยู่วิทยา ความเร็ว 76.275 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่น่าจะเป็นไปได้
เหตุการณ์ผ่านไปกว่า 7 ปี กลับมีประจักษ์พยาน2 คน ที่เพิ่งปรากฏ ยืนยันว่า ขับรถตามหลังผู้ต้องหามา ขณะเกิดเหตุ ผู้ต้องหาขับรถความเร็วประมาณ 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น (ซึ่งขัดแย้งกับภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกไว้ ในโทรทัศน์วงจรปิดขนาดนั้น) รองอัยการสูงสุดจึงสรุปว่า ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า ผู้ตาย (ดาบตำรวจ) ขับจักรยานยนต์เปลี่ยนเลนเข้าไปในเลนรถผู้ต้องหาในระยะกระชั้นชิด ทำให้ผู้ต้องหาไม่สามารถหลบหลีกและหยุดรถได้ทันท่วงที ถือเป็นเหตุสุดวิสัย มิใช่เกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวัง การกระทำของนายบอสผู้ต้องหา จึงไม่เป็นความผิด ดาบตำรวจ ผู้เคราะห์ร้ายจึงกลายเป็นผู้ต้องหา และผู้กระทำความผิด ทั้งที่ประจักษ์พยาน ที่มาปรากฏตัวภายหลัง ไม่มีความน่าเชื่อถือ ไม่ควรรับฟัง และในเชิงลึกสมควรตรวจสอบว่า มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวนายบอสมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ผู้บริโภคจำนวนมากที่ต่อต้านและไม่ซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีตรากระทิงแดง 2 ตัวกระโจนเข้าหากัน พร้อมชูแคมเปญ “just say no red bull” ที่อันผลต่อยอดขายเป็นอย่างมาก
ล่าสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด ต่างตั้งคณะกรรมการของตนเองเพื่อสอบข้อเท็จจริงคดีดังกล่าว
นายกรัฐมนตรีเองได้มีคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการพิเศษเพื่อสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้เช่นกัน โดยมี ศาสตราจารย์วิชา มหาคุณ เป็นประธาน ซึ่งท่านเคยเป็นทั้งอัยการและผู้พิพากษา ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างสูง เพื่อให้ความจริงเป็นที่กระจ่าง
หากอัยการจะแถลงกรณีอัยการไม่สั่งฟ้องนายบอส ควรให้รองอัยการสูงสุด ที่เป็นคนสั่งไม่ฟ้องแถลงเอง ไม่ควรให้โฆษกหรือรองโฆษกแถลงแทน เพราะโดยส่วนตัวอาจมีความเห็นไม่ตรงกับรองอัยการสูงสุด
ตอนนี้เหมือนกับดึงองค์กรอัยการให้เข้ามามีส่วนร่วมเองด้วย ทั้งที่อัยการคนอื่นอาจไม่เห็นด้วยกับรองอัยการสูงสุดท่านนั้น
เมื่อให้รองอัยการสูงสุดแถลง ควรให้แถลงเรื่องไม่อุทธรณ์ คดีพานทองแท้ แถมด้วย เพราะคนสั่งเป็นคนเดียวกัน

ประวัติศาสตร์!ขี่ม้าโปโลไทยคว้าทองแรกซีเกมส์
‘รัฐสภา’ไฟเขียว ‘สูตร20หยิบ1’เลือก‘ผู้ร่างรธน.’ ด้าน‘พริษฐ์’แจงป้องผูกขาดเสียงข้างมาก
แชมป์รอบ30ปี! ฮอกกี้หญิงไทยคว้าทองซีเกมส์
โฆษก กต.ตอบชัด! หากทรัมป์เสนอให้เจรจา คำตอบคือ'ยังไม่พร้อม'
‘กมธ.แก้รธน.’ปรับใหม่ ให้สิทธิ‘นักวิชาการ’สมัครเป็น‘ผู้ร่างรธน.’ได้ ไม่ต้องลาออกจากต้นสังกัด

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี